ข่าว

‘พรเพชร’แจงคำสั่ง‘ประยุทธ์’ยกเลิกตั้ง‘นัฑ’

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

‘พรเพชร’ แจงคำสั่ง‘หน.คสช.’ใช้ม.44ยกเลิกแต่งตั้ง‘นัฑ ผาสุข’นั่งเลขาฯสภา ระบุหวั่นปัญหาภายในกระทบงานแม่น้ำ3สาย ชี้เด้ง‘จเร’เหตุไม่สนองงาน-เร่งสรรหาเลขาฯสภาคนใหม่

 
       19 ต.ค.58 นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะประธานรัฐสภา แถลงกรณีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 37 กรณีย้ายนายจเร พันธุ์เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ไปทำหน้าที่ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกฯ และให้นายนัฑ ผาสุข ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ทำหน้าที่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแทนและฉบับที่ 38 ที่มีเนื้อหาสำคัญ คือ ให้นายนัฑคงดำรงตำแหน่งราชการในสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาตามเดิม โดยไม่ถือว่าเคยได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ว่า ในกรณีแรก ที่ให้นายจเร พ้นตำแหน่งเลขาธิการสภาฯ นั้นเป็นเพราะคสช. เกิดความกังวลต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่สร้างความเสียหาย มีความบกพร่อง และการดำเนินงานล่าช้า ทั้งในเรื่องโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ที่ตามสัญญาจะครบกำหนดก่อสร้างในเดือนพฤศจิกายน 2558 แต่ล่าสุดพบว่าความคืบหน้าก่อสร้างมีเพียง 15-17 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น โดยคาดว่าหลังจากนี้จะมีปัญหาทางกฎหมาย ประเด็นการฟ้องร้องต่อไป และการไม่เร่งรัดดำเนินการตรวจสอบข้อร้องเรียนการทุจริตในสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้เป็นข้อยุติเรียบร้อยโดยเร็ว จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบุคลากรเพื่อให้แก้ปัญหาทั้ง 2 เรื่อง
                  
       นายพรเพชร กล่าวต่อว่า กรณีที่ให้นายนัฑ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย หรือเทียบเท่าระดับ 11 สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เข้าดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรนั้น เป็นข้อเสนอของตนที่ให้กับคสช. เพราะต้องการหาผู้ที่แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ลุล่วง เนื่องจากการแก้ปัญหาสำคัญดังกล่าวนั้นต้องการผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายอย่างมาก โดยไม่ได้คำนึงถึงประเด็นการย้ายข้าราชการข้ามหน่วยงาน หรือข้ามห้วย เพราะในข้อเท็จจริงข้าราชการรัฐสภาเป็นประเภทเดียวกัน แต่เมื่อมีปฏิกิริยาที่ค่อนข้างรุนแรง ตนต้องรับมาพิจารณา ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและในฐานะหัวหน้าคสช. เป็นห่วงและได้ปรึกษากับตน โดยตนมีความเห็นว่าในภาวะปัจจุบันการดำเนินงานของรัฐสภาที่ต้องสนับสนุนงานของแม่น้ำ 3 สาย ได้แก่ สนช., สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อม หรือประเด็นที่กระทบต่อความรู้สึกของบุคลากร จึงได้กราบเรียนนายกฯ ซึ่งนายกฯ ได้เห็นด้วยจึงออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 38 ให้นายนัฑกลับไปดำรงตำแหน่งเดิมในสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ขณะที่ตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่ว่างอยู่นั้น ตนได้ลงนามตั้งรองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่อาวุโสสูงสุด รักษาราชการแทนไปก่อน ส่วนบุคคลใดจะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาฯ ถาวรนั้น ต้องใช้เวลาพิจารณาให้รอบคอบอีกครั้ง โดยใช้กระบวนการพิจารณาตามปกติ
 
       “ผมยังไม่รู้ว่าต้องใช้ระยะเวลาเท่าใดที่จะตั้งผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้เมื่อพิจารณาข้อมูลพบว่ารองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่มีอยู่หลายคนนั้น บางคนอยู่ระหว่างถูกตั้งกรรมการสอบ ดังนั้นขอให้เวลาผมหน่อย แต่เชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่ขาดตกบกพร่อง เมื่อได้คนที่เข้ามาทำงานแล้ว งานชิ้นแรกที่จะท้าทาย คือการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นและโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาที่ล่าช้า” นายพรเพชร กล่าว
              
       นายพรเพชร กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาที่ล่าช้า ว่า ตนไม่อยากให้มีการฟ้องร้องใด ๆ เกิดขึ้น แต่หากถึงขั้นตอนฟ้องร้อง หรือการทิ้งงาน รอให้ประมูลใหม่จะเกิดความเสียหายอย่างมาก ทั้งงบประมาณ และระยะการปฏิบัติงาน ดังนั้นการแก้ปัญหาต้องใช้เทคนิค และวิธีการพิเศษที่ต้องดำเนินการให้ได้ แม้จะเป็นงานที่หนัก อย่างไรก็ตามประเด็นการก่อสร้างที่ล่าช้า มีข้อร้องเรียนมาจากบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ว่าการก่อสร้างล่าช้า เพราะความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐสภา ที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ โดยไม่ระบุชื่อชัดเจน เช่น การส่งมอบที่ดินโรงเรียนโยธินบูรณะล่าช้า จำนวน 4 เดือน เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐสภาโอนเงินเข้าบัญชีผิด ซึ่งไม่ใช่โรงเรียนโยธินบูรณะ ทำให้โรงเรียนโยธินบูรณะไม่ได้รับเงิน เพื่อก่อสร้างหรือปรับปรุงอาคารใหม่ ตนจึงต้องตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยนางวรารัตน์ อติแพทย์ เลขาธิการวุฒิสภา เป็นประธานกรรมการ
 
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ที่จะรักษาราชการแทน คือ นางจันทร์เพ็ญ อานามวัฒน์ รองเลขาธิการสภาฯ ที่อาวุโสสูงสุด ขณะที่บรรยากาศที่รัฐสภา ไม่พบการเคลื่อนไหวหรือการทำกิจกรรมตามที่มีข่าวว่าจะมีข้าราชการแต่งชุดดำเพื่อแสดงสัญลักษณ์ไม่พอใจต่อการโยกย้ายข้าราชการหรือมีกิจกรรมส่งนายจเร ไปทำเนียบรัฐบาลนั้นแต่อย่างใด
 
 
‘พรเพชร’ ยึด3หลัก เฟ้นหากรรมการ ป.ป.ช.ใหม่
 
 
       19 ต.ค. นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงการประชุมกรรมการฯ เพื่อลงมติเลือกผู้สมควรได้รับเลือกเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ในเวลา 13.30 น. ว่าการตัดสินใจเลือกบุคคลตนใช้ดุลยพินิจส่วนตัว จะมีหลักเกณฑ์พิจารณาคือ 1.ความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ เช่น ไม่เคยถูกฟ้องร้องคดี, ไม่เคยเบี้ยวเช็คบุคคลใด, ไม่เคยถูกสอบสวนทางวินัย เป็นต้น 2.มีประวัติทำงานที่ดีเด่น โดยทำงานอุทิศตน มีผลงานที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติอย่างแท้จริง และ 3.มีความมุ่งมั่น ตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่กรรมการ ป.ป.ช. อย่างแท้จริง เพราะการเข้าไปดำรงตำแหน่ง ป.ป.ช. ไม่สามารถประกอบอาชีพอื่นใดได้ ทั้งที่ปรึกษา หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ รวมถึงประกอบอาชีพอิสระ เช่น อยู่บ้านเปิดร้านขายของชำ ทำไม่ได หากทำได้อย่างมากที่สุดคือการไปสอนหนังสือในสถาบันศึกษาของรัฐ เพื่อให้ความรู้ เท่านั้น
 
       “หลักๆผมจะดูแบบนี้ บางคนอาจจะผ่านได้ หรืออาจจะไม่ผ่าน ทั้งนี้ผมใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์อ่านประวัติและรายงานของบุคคลที่สมัครเข้ารับการสรรหาเป็นป.ป.ช. บางคนที่ไม่ขาดคุณสมบัติอย่างละเอียด พร้อมกับหาข้อมูลที่เผยแพร่ในเว็ปไซต์ต่างๆ ประเด็นความสัมพันธ์กับบุคคลใดบ้าง หรือเคยถูกดำเนินคดีใดบ้าง โดยผมเชื่อมั่นว่ากรรมการฯ มีข้อมูลพร้อม ส่วนผู้สมัครฯ เป็นที่รู้จักในสังคม เป็นข้าราชการระดับสูง ซึ่งผู้สมัครหลายคนเป็นไปได้สบายๆ” นายพรเพชร กล่าว  
 
       นายพรเพชร กล่าวด้วยว่า ส่วนจะได้รายชื่อกรรมการป.ป.ช. ในวันนี้ (19 ต.ค.) หรือไม่นั้น ตนมองว่าค่อนข้างมีปัญหา เพราะมีกรรมการสรรหาฯ ขาด 1 ตำแหน่ง คือ ประธานศาลปกครองสูงสุด หากกรรมการสรรหาฯ ลงคะแนนให้กับผู้สมัครฯ เท่ากัน เวลาการลงคะแนนจะยื้ดเยื้อ แต่กรณียืดเยื้อนั้นจะสามารถหาขอยุติได้ หากมีการพูดคุยกันระหว่างกรรมการสรรหาฯ หากคุณสมบัติหรือหน้าตาไม่ขี้เหร่เกินไป อยู่ในหลักการดุลยพินิจ 3 ข้อของตน น่าจะรับฟังได้ แม้จะรู้สึกชอบกัน
 
 
 
 
 
 
 
logoline

ข่าวที่น่าสนใจ