ข่าว

ทำไมเยรูซาเล็มจึงสำคัญนักหนา?

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ทำไมเยรูซาเล็มจึงสำคัญนักหนา? : โลกมุสลิม โดยศราวุฒิ อารีย์

              เยรูซาเล็ม (มุสลิมเรียกว่า อัล-กุดส์) ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ทั้งโลก โดยเฉพาะในหมู่ผู้ศรัทธาในศาสนาสากลแบบเอกเทวนิยม ไม่ว่าจะเป็น ศาสนายูดาห์ คริสเตียน หรือ อิสลาม ซึ่งมีจำนวนประชากรรวมกันไม่ต่ำกว่า 3,700 ล้านคน ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนา เมืองนี้จึงมีความสำคัญทั้งด้านการเมืองและประวัติศาสตร์ของโลกตลอดมา อันเป็นบ่อเกิดของสันติภาพและความขัดแย้ง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในแต่ละยุคแต่ละสมัย

              ในมิติความขัดแย้งนั้น ประเด็นหลักมักวนเวียนอยู่ที่ข้อถกเถียงว่า ศาสนาใดใกล้ชิดเกี่ยวพันกับดินแดนเยรูซาเล็มมากกว่ากัน จนเป็นที่มาของการอ้างสิทธิครอบครองเมืองนี้ของแต่ละฝ่าย กลายเป็นความขัดแย้งเรื้อรัง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการเจรจาสันติภาพระหว่างปาเลสไตน์-อิสราเอลเรื่อยมานับตั้งแต่เริ่มต้นขึ้นเมื่อกว่า 20 ปีก่อน (นอกเหนือจากประเด็นเขตแดนรัฐปาเลสไตน์ในอนาคต ปัญหาผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ที่มีอยู่กว่า 2 ล้านคน และปัญหาการตั้งนิคมชาวยิวจำนวนมากอย่างผิดกฎหมายในดินแดนปาเลสไตน์)

              ขณะที่ชาวมุสลิมทั่วโลกต่างให้การยอมรับความสำคัญของศาสนายูดาห์และคริสเตียน ซึ่งมีประวัติศาสตร์เกี่ยวโยงใกล้ชิดกับนครเยรูซาเล็ม แต่ก็ย้ำว่า สถานที่แห่งนี้ก็มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับศาสนาอิสลามด้วยเช่นกัน และเยรูซาเล็มมิได้มีความผูกมัดทางจิตวิญญาณต่อชาวปาเลสไตน์หรือชาวอาหรับเท่านั้น แต่ดินแดนแห่งนี้คือ ศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมทั่วโลกอีกด้วย

              เพราะนอกจากมัสยิดฮารอมในนครมักกะฮ์และมัสยิดนะบะวีย์ในมะดีนะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบียแล้ว มัสยิดอัล-อักซอในเยรูซาเล็ม ถือเป็นมัสยิดที่มีความสำคัญมากที่สุดเป็นลำดับ 3 ของศาสนาอิสลาม อีกทั้งอัล-อักซอยังถือเป็น "กิบลัต" แรกในประวัติศาสตร์อิสลาม หรือชุมทิศแรกที่มุสลิมหันหน้าไปยามละหมาดและขอพรต่อพระเจ้า ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นนครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ในเวลาต่อมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

              นอกจากนี้แล้ว มัสยิดอัล-อักซอยังเป็นศาสนสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์อิสลามอันเนื่องมาจากมัสยิดแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ศาสดามุฮัมมัด ได้ละหมาดก่อนที่จะถูกนำตัวขึ้นสู่ชั้นฟ้าเบื้องสูงในเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า “อิสรออ์และมิอ์รอจญ์”

              แต่สำหรับชาวยิวแล้ว เยรูซาเล็มคือที่ตั้งของ The Temple Mount หรือพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสร้างโดยศาสดาโซโลมอน หรือที่มุสลิมรู้จักในนามศาสดาสุไลมาน (ปกครองระหว่าง 971-931 ก่อนคริสต์ศักราช) แต่พระวิหารยุคแรกนี้ก็ถูกทำลายโดยพวกบาบิโลนเมื่อ 587 ก่อนคริสต์ศักราช จากนั้นก็มีการสร้างมหาวิหารยุคที่ 2 ขึ้นในสมัยกษัตริย์ไซรัสมหาราชและดาไรอุส อีก 500 ปีต่อมาพระวิหารที่ 2 (Second Temple) ก็ได้รับการปฏิสังขรณ์โดยกษัตริย์แฮรอดมหาราช จนเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “พระวิหารแฮรอด” แต่สุดท้ายพระวิหารแห่งใหม่นี้ก็ถูกทำลายโดยพวกโรมันในปี ค.ศ.70 เหลือแต่ซากกำแพงเก่าที่ไม่ได้ถูกทำลาย ซึ่งเป็นที่มาของ "กำแพงร้องไห้" ที่อยู่ทางตะวันตก หรือ “Western Wall”

              นับจากนั้นเป็นต้นมา ผู้นับถือศาสนายูดาห์นิกายออร์โธด็อกซ์ ก็ตั้งหน้ารอคอยการสร้างพระวิหารยุคที่ 3 ในเยรูซาเล็ม พร้อมกับการรอคอยการปรากฏตัวของเมสไซยาห์ของชาวยิว (Jewish Messianism) ก่อนที่พระผู้เป็นเจ้าจะทำลายโลก

              ปัญหาก็คือ ตามความเชื่อของชาวยิวกลุ่มนี้ หากจะฟื้นฟูมหาวิหารยุคที่ 3 ขึ้นมาจริงๆ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ รื้อถอนมัสยิดอัล-อักซอและโดมทองแห่งศิลา (Dome of the Rock) ของชาวมุสลิมเสียก่อน เพราะมัสยิดเหล่านี้ก่อสร้างอยู่บนเนินเขาที่ชาวยิวเชื่อว่าเป็น "The Temple Mount"

              พูดอีกอย่างคือ ชาวยิวอ้างว่าข้างใต้ศาสนสถานสำคัญของชาวมุสลิมในเยรูซาเล็มคือซากมหาวิหารโซโลมอนนั่นเอง

              นี่แหละครับคือสาเหตุหลักที่ทำให้เยรูซาเล็มกลายเป็นเมืองแห่งความวุ่นวายอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในสื่อทุกวันนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางคนถึงกับฟันธงว่า เยรูซาเล็มอาจเป็นระเบิดเวลาสำหรับสงครามใหญ่ที่กำลังคืบคลานเข้ามาในไม่ช้าไม่นาน

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ