Lifestyle

วัฒนา อัศวเหม หรือ "มังกร"...จะซ่อนยาว?

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

จากวันนั้น ถึงวันนี้ย่างเข้าปีที่ 10 แล้ว ที่คนไทยยังไม่เห็นวัฒนา อัศวเหม แล้วในวันอ่านคำพิพากษาที่เลื่อนไปเป็น 13 ก.ค. 2561 เราควรจะลุ้นไหมว่าเขาจะมาหรือเปล่า?

          ไม่มีใครแปลกใจ...สำหรับการไม่มาตามนัดของ “วัฒนา อัศวเหม” เมื่อวันที่ 30 .. 2561 กับการนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาครั้งที่ 2 คดีฉ้อโกงซื้อที่ดินและสัญญาโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย อ.คลองด่าน จ.สมุทรปราการ หมายเลขดำ อ.254/2547 ที่กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง

          แต่ถึงจะไม่แปลกใจ..หลายคนก็อด “ถอดใจ”ไม่ได้ว่า งานนี้เจ้าพ่อปากน้ำผู้นี้ น่าจะหลบยาวไปไม่มีกำหนดปรากฏตัวง่ายๆ!!

          แน่นอนสำหรับคนระดับ “เจ้าพ่อ” เส้นทางชีวิตไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก เมื่อใหญ่พอ และใหญ่จริง!

วัฒนา อัศวเหม  หรือ "มังกร"...จะซ่อนยาว?

          ที่ว่าไม่ง่าย เพราะกว่าจะมีวันนี้ วัฒนา อัศวเหม ก็คือ “คนแซ่เบ๊” คนหนึ่งที่บรรพบุรุษก็อพยพมาจากแดนมังกรโพ้นทะเล

          แต่รุ่นของ “วัฒนา” หรือชื่อเดิมคือ กิมเอี่ยม แซ่เบ๊ เขาได้เติบโตขึ้นมาเป็นนักธุรกิจเชื้อสายจีนที่มีชื่อเสียง ได้รับการยอมรับว่า เป็นอีกหนึ่งตำนาน “เจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพล” แห่งพื้นที่สมุทรปราการ จังหวัดในเขตปริมณฑลที่มีความใกล้ชิดกับกรุงเทพมากที่สุด ทั้งในแง่ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และสภาพสังคม

          ยิ่งถ้านับจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 5 ที่ส่งผลให้สมุทรปราการได้พัฒนาสู่การเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ต่อเนื่องสู่พื้นที่เขตอุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก คนในตระกูลอัศวเหม ยิ่งสยายปีกกว้างขวางโอบล้อมพื้นที่แห่งนี้อย่างชนิดที่ใครก็ทานไว้ไม่อยู่!

          ย้อนไปในวัยต้น วัฒนา อัศวเหม เกิดเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.. 2479 (บางแหล่งระบุว่าวันที่ 26 ..2479) เกิด ที่จ.สมุทรปราการ เป็นบุตร สุขชัย กับ สำอางค์ อัศวเหม มีพี่น้องรวม 12 คน โดยวัฒนานั้นเป็นบุตรคนที่ 6 หรือจะเรียกว่าบุตรคนกลางก็ได้!

          วัฒนา จบชั้นประถมที่โรงเรียนเทศบาล และชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจำจังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาเขาจบปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และปริญญาตรีสาขาการจัดการธุรกิจ จาก Southeastern USA (London Campus) ประเทศอังกฤษ

          ในชีวิตส่วนตัว วัฒนา สมรสกับนางจันทร์แรม มีบุตรสามคน ได้แก่ พิบูลย์ อัศวเหม, พูลผล อัศวเหม อดีต ส..สมุทรปราการ และ ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ

          อย่างไรก็ดี ครอบครัวของวัฒนา เดิมทำอาชีพค้าขายของชำ ทำให้ค่อนข้างมีฐานะทางการเงินที่ดี แต่วัฒนาเองนั้น ก็เป็นเด็กขยัน รู้จักค้าขายมาตั้งแต่เรียนมัธยม โดยเคยเป็นเด็กรับรถ, ชกมวย เรียกว่า หาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาเงินของทางบ้าน!

วัฒนา อัศวเหม  หรือ "มังกร"...จะซ่อนยาว?

          ข้อมูลจากงานค้นคว้าเรื่อง “บทบาทผู้นำทางการเมือง : นายวัฒนา อัศวเหม” โดย พิริยะ โตสกุลวงศ์ เล่าว่าธุรกิจแรกของวัฒนาคือเปิดร้านขายของชำ และเหมาไปขายยังที่ต่างๆ

          ต่อมาเริ่มทำร้านอาหารชื่อ “บ้านแก้วเรือนขวัญ” ที่ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะถือเป็นต้นตำรับซีฟู้ดของเมืองไทย

          ต่อมาสยายปีกไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น บริษัทรับเหมาก่อสร้าง, บริษัทขนส่งทางเรือ, โรงอบใบยา “วัฒนายาสูบ” ที่จ.แพร่ ตามต่อด้วยธุรกิจน้ำมัน โดยเป็นตัวแทนองค์การเชื้อเพลิงขายน้ำมัน ในชื่อ “น้ำมันตราสามทหาร”

          กระทั่งวัฒนาได้ยื่นเรื่องขอตั้งโรงกลั่นน้ำมันที่แหลมฉบัง ศรีราชา แต่แม้จะไม่สำเร็จในภายหลังด้วยเหตุผลทางการเมือง ช่วงรอยต่อเดือนตุลาอาถรรพณ์ 2516 แต่ครั้งนั้นก็ถือเป็นบทพิสูจน์สายตายาวไกลของเขาได้ไม่น้อย

          เพราะต่อมาช่วงปลายปี 2536 เขากลับมาเอาจริงในเส้นทางสายน้ำมันอีกครั้ง โดยการเปิด 2100 แห่ง ภายในเวลา 2 ปี ภายใต้การดำเนินงานโดย บริษัท เอ็ม. พี. ปิโตรเลียม จำกัด โดยให้บุตรชายทั้ง 3 บริหาร และประสบความสำเร็จเป็นอันมาก

          จนปัจจุบันถ้าพูดถึงอาณาจักรธุรกิจของเจ้าพ่อปากน้ำคนนี้ ต้องบอกว่าอื้อหือ คือ เยอะมาก! ไม่เพียงแค่ธุรกิจน้ำมัน แต่ยังมีถึงกว่า 20 บริษัท!มีสินทรัพย์รวม 10,387,863,276 บาท ไม่รวมทรัพย์สินในต่างประเทศ (ข้อมูลช่วงปี 2556 สำนักข่าวอิศรา)

          อย่างไรก็ดี มีผู้วิเคราะห์ว่า ในภาพความเป็นเจ้าพ่อของวัฒนานั้น มีลักษณะของการสานสัมพันธ์คนในภาครัฐ ภาคการเมือง สิ่งเหล่านี้แน่นอนจะช่วยเอื้อในเส้นทางธุรกิจ และยังสามารถต่อยอดไปยังขั้วอำนาจฝ่ายปกครองได้          

          ย้อนไปดูเส้นทางทางการเมือง วัฒนา เริ่มเป็น ส..ตั้งแต่ ปี 2518 ลงเลือกตั้งในนามพรรคสังคมชาตินิยม ที่มี ประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ เป็นหัวหน้าพรรค โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งอาทิ นิยม วรปัญญา, ธเนตร เอียสกุล

วัฒนา อัศวเหม  หรือ "มังกร"...จะซ่อนยาว?

          เป็น ส..ได้ไม่ถึงปี สภาชุดนี้สิ้นสุดลง เพราะมีการยุบสภา เมื่อ 12 .. 2519 และจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่วัฒนาก็ยังคงได้นั่งเก้าอี้ ส..ที่เดิมอีกครั้งในนามพรรคเดิม คราวนี้เขาได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มีหน้าที่ดูแลเรื่องน้ำมันโดยตรง

          จนเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งในปี 2522 คราวนี้วัฒนาย้ายไปสังกัดพรรคชาติประชาชน หรือ กลุ่มชาติประชาชน ที่มี ร..บุญยง วัฒนพงศ์ เป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งวัฒนาเองก็นั่งกรรมการบริหารพรรค พร้อมกับ “มั่น พัธโนทัย” ที่ว่ากันว่า เขาคือเด็กสร้างผู้เป็น “มือขวา” ของป๋าใหญ่แดนปากน้ำนี่แหละ

          ครั้งนั้นวัฒนามีผลงาน เสนอ ร่าง พ...ธุรกิจปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติแห่งประเทศไทยเข้าสภา

          จากนั้นมาวัฒนาก็ได้เป็น ส.. .สมุทรปราการ ยาวนานติดต่อกัน 10 สมัย จนถึง ปี 2539 โดยสังกัดพรรคต่างๆ ดังนี้

          ปี 2526 สังกัดพรรคชาติไทย, ปี 2531 สังกัดพรรคราษฎร, ปี 2535-2538 สังกัดพรรคชาติไทย เป็น ส..สมุทรปราการติดกัน 3 สมัย, ปี 2539 สังกัดพรรคประชากรไทย

          ทั้งนี้ ช่วงปี 2531 ที่ พล..ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี วัฒนาได้เก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ดูแลกรมแรงงาน กรมราชทัณฑ์ และการเคหะแห่งชาติ หรือที่หลายคนเรียกว่า งานคุก สลัม และกรรมกร แต่วัฒนาก็ทำงานในเก้าอี้ได้ดีจนหลายคนยอมรับทั่วกัน

          สรุปแล้ว วัฒนาเคยมีตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ เช่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ปี 2519, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ปี 2531, 2533 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปี 2535และกลับมานั่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อีกในปี 2540

          นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งสำคัญในพรรคการเมืองหลายพรรค เช่น รองหัวหน้าพรรคชาติไทย, หัวหน้าพรรคราษฎร, ที่ปรึกษาพรรคมหาชน, ประธานพรรคเพื่อแผ่นดิน

          ที่เด็ดจนต้องเล่าซ้ำคือ ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทย คือ วัฒนาเป็นหนึ่งใน “กลุ่มงูเห่า” ขณะที่เขาสังกัดพรรคประชากรไทยของ สมัคร สุนทรเวช

          โดยช่วงปลายปี 2540 เขาไปเข้าร่วมกับพล..สนั่น ขจรประศาสน์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ นำ ส..พรรคประชากรไทย จำนวน 13คน ไปร่วมกับพรรคสะตอ จนทำให้ ชวน หลีกภัย ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

          และยังส่งผลให้ “สมัคร” ที่เดิมเป็นรองนายกฯ กลับต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน เพราะเหลือ ส.. ในสังกัดเพียง 4 คนเท่านั้น

          หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น สมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชากรไทย ได้กล่าวเปรียบเทียบว่า ตนเองเป็นเหมือน ชาวนา ในนิทานอีสป เรื่อง "ชาวนากับงูเห่า" ซึ่งก็หมายถึง ส..กลุ่มปากน้ำ ของวัฒนา อัศวเหม นั่นเอง

          ต่อมาพรรคประชากรไทยยมีมติขับไล่สมาชิกกลุ่มนี้ออกจากพรรค จนวัฒนาต้องตั้งกลุ่มใหม่ในชื่อ “พรรคราษฎร” และเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งแน่นอนที่ วัฒนา อัศวเหม จะได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยอีกในครั้งนั้นเอง

000

          ดูเหมือนว่าเส้นทางการเมืองของเจ้าพ่อปากน้ำ จะสวยสดงดงาม เล่าให้ใครฟัง ก็สุดภาคภูมิใจอย่างดีตราไก่ ตำแหน่งสุดท้ายของวัฒนา คือ เก้าอี้ รมช.มหาดไทย ช่วงปี 2540-2544

          แต่พอช่วงรอยต่อที่พรรคไทยรักไทย กำลังเข้ามาเทคโอเวอร์หัวใจประชาชนช่วงการเลือกตั้งปี 2544 วัฒนาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพรรคราษฎร แต่พรรคได้ ส.. เพียง 3 คนเท่านั้น วัฒนาจึงตัดสินใจวางมือทางการเมือง

          จนมาถึงการเลือกตั้งปี 2548 วัฒนายกพรรคราษฎรให้ “พล.. สนั่น ขจรประศาสน์” ก่อนเปลี่ยนหัวใหม่เป็น “พรรคมหาชน” โดยตนเองไปนั่งประธานที่ปรึกษาพรรคและให้ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นหัวหน้าพรรค

          ภายหลัง ฉากการเมืองของวัฒนาจึงจบลงแต่เพียงเท่านั้น ปล่อยให้ทายาทโลดแล่นต่อไป ทั้ง พิบูลย์- พูลผล อัศวเหม ที่ก็ตามติดบิดาในสนามการเมืองใหญ่มาอยู่ก่อนแล้ว ขณะที่บุตรคนเล็ก "ชนม์สวัสดิ์" ก็โลดแล่นอยู่สนามการเมืองท้องถิ่น เรียกว่าลีลาทั้งบู๊บุ๋นกันทั้งบ้าน!

          แต่แล้ว...ต่อมาช่วงปี 2551 วัฒนาถูก ป... ตัดสินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ใน 2 คดีด้วยกัน ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ที่เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย

วัฒนา อัศวเหม  หรือ "มังกร"...จะซ่อนยาว?

          คือ 1.การใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ รวบรวมที่ดินและนำไปออกโฉนดทับที่สาธารณะประโยชน์ รวม 5 แปลง 1,903 ไร่ โดยมีการปั่นราคาขายที่ดินจาก 1 แสนบาท/ไร่ เป็น 1.1 ล้านบาท/ไร่ (ปมที่ดิน)

          2.การใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ผลักดันและเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ เอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง ทั้งการรวมที่ดินเป็นผืนเดียวทำให้กิจการร่วมค้า NVPKSG ชนะการประมูล และการเพิ่มวงเงินโครงการ จาก 13,612 ล้านบาท เป็น 22,955 ล้านบาท (ปมโครงการ)

          ทั้งนี้ ในเอกสารของ ป... ได้ระบุสายสัมพันธ์ระหว่าง วัฒนากับ ยิ่งพันธ์ มนะสิการ ผู้ผลักดันโครงการนี้ (เสียชีวิตแล้ว) โดยเฉพาะการเป็น ส.. กลุ่มงูเห่า” ร่วมกัน ตรงนี้เองจึง กลายเป็นช่องทางในการให้บริษัทเอกชนที่วัฒนาถือหุ้น 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท ปาล์มบีช ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และบริษัท คลองด่านมารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ จำกัด เข้าไปกว้านซื้อที่ดิน เพื่อใช้ในโครงการนี้แต่เพียงผู้เดียว

          สำหรับคดีแรก ป... มีมติเมื่อปี 2550 ชี้มูลความผิดวัฒนา กับเจ้าหน้าที่กรมที่ดินอีกจำนวนหนึ่ง ฐานใช้อำนาจข่มขืนใจหรือจูงใจให้ราษฎรขายที่ดินให้ และออกเอกสารสิทธิที่ดินโดยมิชอบรุกล้ำที่ดินสาธารณะประโยชน์

          ซึ่งในการไต่สวนคดี ที่จริงวัฒนาไม่ได้หลบหนีตั้งแต่แรก ที่เกิดเรื่อง โดยวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดสืบพยานโจทก์นัดแรก และสืบพยานจำเลยวันที่ 28 มีนาคม 2551

วัฒนา อัศวเหม  หรือ "มังกร"...จะซ่อนยาว?

          ต่อมา 17 เมษายน 2551 ศาลนัดไต่สวนพยานจำเลยครั้งสุดท้าย วัฒนาเดินทางมาร่วมการพิจารณาคดีเป็นครั้งแรก หลังจากขอเลื่อนเข้าไต่สวนมาแล้วหลาย ด้วยข้ออ้างป่วย มีอาการสับสนเฉียบพลัน หลงลืม สูญเสียความทรงจำชั่วคราว เนื่องจากอาการโรคเส้นเลือดอุดตันที่ก้านสมอง

          ต่อมาวันที่ 8 พฤษภาคม 2551 วัฒนา เบิกความต่อศาลยืนยันความบริสุทธิ์ หากทำผิดจริงให้ลงโทษประหารชีวิต ซึ่งเป็นโทษสูงสุด และยืนยันด้วยว่าในวันพิพากษาจะมาฟังแน่นอน ไม่หลบหนีไปไหนเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด

          กระทั่งวันที่ 9 กรกฎาคม พ.. 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นัดพิพากษาคดีดังกล่าว แต่ “วัฒนา” ไม่มาปรากฏตัว จนมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.. 2551 ให้จำคุกวัฒนา 10 ปี พร้อมกับออกหมายจับเพื่อติดตามตัวจำเลย มารับโทษ!

          ทั้งนี้ ในวันนั้น ม..ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ผู้พิพากษาอาวุโส เจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะ 9 คน ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง วัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับคลองสาธารณประโยชน์และที่เทขยะมูลฝอย ซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม นำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษ เพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ โดยการอ่านคำพิพากษาครั้งนี้ใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง

          ศาลฎีกาฯ มีมติ 8 ต่อ 1 เห็นว่า จำเลยได้ใช้อำนาจข่มขืนใจหรือจูงใจเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ออกโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ในนามบริษัท ปาล์มบีช ดิเวลล็อปเม้นท์ จำกัด โดยมิชอบด้วยกฎหมาย และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี

          มีครั้งหนึ่งที่ทางวัฒนา ได้ยื่นขออุทธรณ์คดีดังกล่าว แต่ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณา

          ส่วนคดีที่ 2 ... มีมติเมื่อปี 2554 ชี้มูลความผิดวัฒนา รวมถึงอดีตผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ คพ. แต่ให้ยุติการพิจารณาในส่วนของนายยิ่งพันธ์ (เพราะเสียชีวิตไปแล้ว) และยกฟ้องนายสุวัจน์

          ทั้งนี้ คดีนี้ศาลชั้นต้น พิพากษาจำคุกวัฒนากับพวก คนละ 3 ปี ซึ่งวัฒนาหลบหนีคดี ศาลจึงสั่งให้ออกหมายจับ และปรับนายประกัน ขณะที่ช่วงปี 2556 ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้ "ยกฟ้อง" จำเลยที่ 2 -19 ต่อมากรมควบคุมมลพิษ ได้ยื่นฎีกาขอให้ศาลฎีกา พิพากษาลงโทษพวกจำเลยด้วย

          ที่สุด เมื่อมาถึงวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งทั้ 2 ช่วงวันที่ 30 .ค ที่ผ่านมานี้เอง ที่วัฒนายังคงไม่มาตามนัด! 2 ศาลฎีกาจึงออกหมายจับ และได้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาไปเป็นวันที่ 13 .. 2561

วัฒนา อัศวเหม  หรือ "มังกร"...จะซ่อนยาว?

          ดังนั้น จากวันนั้นจนถึงวันนี้ย่างเข้าปีที่ 10 แล้ว ที่คนไทยยังไม่เห็นวัฒนา อัศวเหม จะมีก็แต่ข่าวคราวที่ว่า เขายังคงใช้ชีวิตอย่างดีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งกัมพูชา จีน ฮ่องกง มาเก๊า นิวซีแลนด์

          เช่นช่วงปี 2555 มีข่าวว่า วัฒนาไปทำวัดที่จีน โดยเขาโผล่ที่งานฝังลูกนิมิต และผูกพัทธสีมาอุโบสถวัดเหมอัศวาราม ซึ่งเป็นวัดไทยนิกายเถรวาทแห่งแรกในประเทศจีน

          หรือต่อมาช่วงปี 2556 มีภาพ “วัฒนา” ปรากฏตัวที่มาเก๊า ร้อมกับ “ชนม์สวัสดิ์” และ “เจนี เทียนโพธิ์สุวรรณ” นางเอกสาวขณะที่ยังรักันหวานชื่นก่อนจะแยกทางกัน

          อย่างไรก็ดี ที่สุด ในวันอ่านคำพิพากษาที่เลื่อนออกไปเป็นวันที่ 13 .. 2561 เราไม่ต้องลุ้นกันอีกแล้ว เพราะเขายังคงไม่มาตามนัด โดยคำพิพากษาออกมาอย่างนี้

          ศาลแขวงดุสิต อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง วัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย (หนีคดีตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งศาลออกหมายจับไว้อยู่แล้ว) กับพวกที่เป็นบริษัทเอกชน เป็นจำเลยที่ 1 – 19 ในความผิดฐานฉ้อโกงการจัดซื้อที่ดิน อ.คลองด่าน จ.สมุทรปราการ เนื้อที่รวม 1,900 ไร่ มูลค่า 1.9 พันล้านบาท เพื่อก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน โดยที่ดินนั้น เป็นคลอง ถนนสาธารณะ และป่าชายเลน และฉ้อโกงสัญญาก่อสร้างฯ มูลค่าประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท

            โดยเมื่อถึงเวลา “องค์คณะศาลแขวงดุสิต” ได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา ซึ่งศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า จำเลยทั้ง 18 ราย มีความผิดตามฟ้องกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษจำคุก วัฒนา เป็นเวลา 3 ปี ส่วนจำเลยอื่นจำคุก ตั้งแต่ 3-6 ปี พร้อมกับปรับบริษัทที่เป็นจำเลยร่วม 7 บริษัท ตั้งแต่ 6,000-12,000 บาท

          เป็นอันจบแล้วคดีคลองด่าน แต่ที่ไม่จบคือ ยังมีบางคนที่ซ่อนยาว!!

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ