Lifestyle

“สี จิ้นผิง” ยก “กินิม พนเสนา” บุกเบิกสัมพันธ์ลาว-จีน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

 “สี จิ้นผิง” แห่งแดนมังกร มาเยือนลาวหนนี้ ยังได้พบกับครอบครัว “พนเสนา” รัฐมนตรีหลายกระทรวงในรัฐบาลลาว ที่เป็นเพื่อนเก่า และเป็นเพื่อนมิตรที่ดีของจีนมานาน

          ประมุขแดนมังกร เดินทางกลับมหานครปักกิ่งไปเรียบร้อยแล้ว หลังการเยี่ยมยาม สปป.ลาว เป็นครั้งที่ 2 โดยครั้งแรก “สี จิ้นผิง” มาเยือนลาวในฐานะรองประธานาธิบดี เมื่อ 7 ปีก่อน

          จริงๆ แล้ว “สี จิ้นผิง” คุ้นเคยกับครอบครัวชาวลาวมาแต่สมัยเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองจีน ซึ่งเป็นครอบครัวของนักการเมืองลาวฝ่ายก้าวหน้า ฉะนั้น “สี จิ้นผิง” จึงได้พบกับมิตรสหายชาวลาวทั้งสองครั้งที่เดินทางมาถึงนครหลวงเวียงจันทน์

          ค่ำวันที่ 13 พ.ย. ที่โรงแรมที่ทางการลาวจัดรับรองให้ผู้นำจีน “สี จิ้นผิง” ได้เปิดโอกาสให้ ครอบครัว “พนเสนา” เข้าพบเป็นการส่วนตัว ประกอบด้วย สมมาด พนเสนา รัฐมตรีกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม, เข็มมะนี พนเสนา รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า, เข็มแพง พนเสนา อดีตรัฐมนตรีประจำนักนายกฯ และ ดร.คำเลียน พนเสนา อดีตรัฐมนตรีกระทรวงแผนการและการลงทุน

“สี จิ้นผิง”  ยก “กินิม พนเสนา”  บุกเบิกสัมพันธ์ลาว-จีน

          สหายสี จิ้นผิง กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้พบกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน และเพื่อนเก่าอีกครั้ง ทุกท่านยังมีสุขภาพแข็งแรง และครอบครัวก็มีความสุข

          “ครอบครัวพนเสนา เป็นเพื่อนเก่า และเป็นเพื่อนมิตรที่ดีของจีน”

          ตัวแทนครอบครัวพนเสนา กล่าวขอบคุณสหายสี จิ้นผิง ทีไม่เคยลืมเพื่อนเก่า และรู้สึกยินดีที่เห็นท่านได้รับเลือกเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกครั้ง

“สี จิ้นผิง”  ยก “กินิม พนเสนา”  บุกเบิกสัมพันธ์ลาว-จีน

          ครอบครัว “พนเสนา” ที่ได้เป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวงในรัฐบาลลาว ไม่ได้มาจากสาย “ลูกท่านหลานเธอ” (ผู้นำพรรคประชาชนปฏิวัติลาว) หากแต่ปัญญาชนคนรุ่นใหม่ที่เรียนจบมาจากสหภาพโซเวียต และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยบิดาของพวกเขาคือ “กินิม พนเสนา” นักการเมืองหัวก้าวหน้า ในยุคสงครามลาว 3 ฝ่าย

“สี จิ้นผิง”  ยก “กินิม พนเสนา”  บุกเบิกสัมพันธ์ลาว-จีน

กินิม พนเสนา

 

          สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง อาณานิคมฝรั่งเศสสั่นสะเทือน เวียดนาม ลาวและกัมพูชา ประกาศเอกราช สหรัฐอเมริกาเริ่มวิตกอกสั่นขวัญหาย เกรงอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ขยายตัว สหรัฐฯ จึงเข้ามาแทรกแซงอินโดจีน 

          โดยเฉพาะราชอาณาจักรลาว เนื่องจากราชวงศ์หลวงพระบางอ่อนแอ และสหรัฐฯ เข้ามาบงการนักการเมืองลาวบางกลุ่ม ส่งผลให้การเมืองลาวแตกเป็น 3 ก๊ก ซึ่งแต่ละก๊กก็มีมหาอำนาจหนุนหลัง พร้อมกับมี “กองกำลังทหาร” ไว้สู้รบกับอีกฝ่ายหนึ่ง

          ก๊ก “ลาวฝ่ายขวา” มีเจ้าบุนอุ้ม ณ จำปาสัก และ พล.ท.พูมี หน่อสะหวัน เป็นผู้นำ โดยสหรัฐฯ ได้ช่วยเหลือในการฝึกอบรมด้านการทหาร และส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ 

          ก๊ก “ลาวฝ่ายซ้าย” มีเจ้าสุพานุวง ถือธงนำขบวนการแนวลาวอิสระ หรือเรียกสั้นๆ ว่า “ลาวฝ่ายซ้าย” มีฐานกำลังทหารอยู่ในแขวงหัวพัน , แขวงพงสาลี และแขวงเชียงขวาง

          ก๊ก “ลาวฝ่ายเป็นกลาง” นำโดยเจ้าสุวันนะพูมา หัวหน้าพรรคลาวเป็นกลาง และตอนหลัง มีกองทหารของ ร.อ.กองแล วีละสาน มาเป็นฐานกำลัง ในฝ่ายลาวเป็นกลาง ก็ยังกลุ่มย่อย “เป็นกลางนิยมซ้าย” ที่มี กินิม พนเสนา หัวหน้าพรรคสันติภาพ-เป็นกลาง เป็นแกนนำ 

“สี จิ้นผิง”  ยก “กินิม พนเสนา”  บุกเบิกสัมพันธ์ลาว-จีน

ร.อ.กองแล วีละสาน

 

          ปี 2597 มหาอำนาจจีน และโซเวียต พยายามให้ราชอาณาจักรลาว วางตัวเป็นกลางเพื่อกันอิทธิพลของสหรัฐฯ จึงสนับสนุนเจ้าสุวันนะพูมา จับมือกับเจ้าสุพานุวง โดยดึงให้แนวลาวอิสระลงเลือกตั้ง แข่งกับพรรคลาวฝ่ายขวา ขณะที่ฝ่ายเป็นกลาง มีอยู่ 2 พรรคคือ พรรคลาวเป็นกลางของเจ้าสุวันนะพูมา และพรรคสันติภาพ-เป็นกลางของ กินิม พนเสนา 

          เจ้าสุวันนะพูมา และกินิม มักจะคบค้าอยู่กับฝ่ายจีน ที่สนับสนุนแนวทางเป็นกลาง ตรงข้ามกับกลุ่มลาวฝ่ายขวา ที่ได้สหรัฐฯ และฝรั่งเศสเป็นพี่เลี้ยง รัฐบาลเลือกตั้งจึงบริหารประเทศได้ไม่นาน เนื่องจากความขัดแย้งภายในกลุ่มการเมือง 3 ก๊กดังกล่าวมาข้างต้น

          9 ส.ค.2503 ร.อ.กองแล วีละสาน วัย 27 ปี ผู้บังคับกองพันทหารโดดจ้องที่ 2 (กองพันทหารพลร่มที่ 2) นำกำลังทหาร 800 นาย ยึดกรุงเวียงจันทน์ และแถลงการณ์ยึดอำนาจล้มรัฐบาลสมสนิท(ฝ่ายขวา)

          “กองแล” เชิญเจ้าสุวันนะพูมา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และในรัฐบาลฝ่ายเป็นกลางยังมี “กินิม” หัวหน้าพรรคสันติภาพ-เป็นกลางร่วมเป็นรัฐมนตรีด้วย ระหว่างกองแลคุมอำนาจทหารในเวียงจันทน์ ได้ขยายกองกำลังเพิ่ม และทำแนวร่วมกับทหารแนวลาวอิสระ 

          13 ธ.ค.2503 "พูมี หน่อสะหวัน" ผู้บัญชาการทหารลาวใต้ นำกองทหารบุกโจมตีเวียงจันทน์ โดยได้รับกำลังสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา และรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพูมี จนฝ่ายกองแล ต้านทานไม่ไหว ต้องถอนออกจากเวียงจันทน์ไปร่วมกับแนวลาวอิสระที่ทุ่งไหหิน เชียงขวาง

          นับแต่นั้นมา สถานการณ์ในลาวทวีความรุนแรงขึ้น ผู้แทนสามฝ่ายการเมืองในลาวได้แก่ ฝ่ายเป็นกลาง-เจ้าสุวันนะพูม ฝ่ายซ้าย-เจ้าสุพานุวง และฝ่ายขวา-เจ้าบุนอุ้มและพูมี เปิดการเจรจาเพื่อให้มีการหยุดยิงหลายครั้ง และในที่สุด มีการตั้งคณะรัฐบาลผสม 3 ฝ่ายเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2505 ที่มีเจ้าสุวันนะพูมา เป็นนายกรัฐมนตรี โดยท่านกินิม พนเสนา ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศด้วย

          1 เม.ย.2506 ท่านกินิม ถูกลอบสังหารที่บ้านพักคุ้มธาตุดำ นครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งเบื้องหลังฆาตกรรมการเมืองหนนี้ มี 2 ทฤษฎีคือ 1.มีการล้างแค้นกันในกลุ่มลาวฝ่ายเป็นกลาง เพราะก่อนหน้านั้น มีนายทหารคู่ใจกองแล ถูกฆ่าตาย 2.ฝีมือทหารลาวฝ่ายขวา ที่กลุ่มซีไอเอจ้างวานให้เด็ดชีพนักการเมืองหัวก้าวหน้า

                                                            000

          ย้อนเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2553 สี จิ้นผิง สมัยเป็นรองประธานาธิบดีจีน ได้เดินทางมาเยือนลาวในเวลาอันจำกัด สี จิ้นผิง ได้นัดพบครอบครัว “พนเสนา” ซึ่ง ท่านสมมาด พนเสนา ได้พาพี่น้องไปพบเพื่อนเก่าจากปักกิ่งทันที

          วันนั้น สี จิ้นผิง มาพร้อมกับของขวัญล้ำค่านั่นคือ ภาพถ่ายเมื่อ 50 กว่าปีก่อน

          ภาพแรก..  ท่านกินิม นั่งสนทนากับเหมา เจ๋อตง

          ภาพที่สอง.. ท่านกินิม เดินเคียงข้างกับนายกฯ โจว เอินไหล ออกจากสภาประชาชน

          สองภาพนี้ ยืนยันถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างลาว - จีน ผ่านท่านกินิม หัวหน้าพรรคสันติภาพ - เป็นกลาง 

          ดังที่ทราบกัน ท่านกินิม เป็นฝ่ายเป็นกลางนิยมซ้าย จึงมีความใกล้ชิดกับกลุ่มแนวลาวอิสระ ที่นำโดยเจ้าสุพานุวง และเมื่อมีการประชุมสันติภาพ 3 ฝ่าย ที่ซูริค ท่านกินิมก็เดินทางไปร่วมด้วยในฐานะฝ่ายเป็นกลาง และในที่ประชุมนี้ ท่านกินิม ได้พบกับผู้นำจีน ช่วงปี 2504-2505

          เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาล 3 ฝ่าย ท่านกินิม ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และต้นปี 2506 ท่านกินิม ถูกฆาตกรรม ศูนย์การนำพรรคคอมมิวนิสต์จีน ไม่รอช้าได้ส่งคนมาพบภรรยาท่านกินิม แล้วนำครอบครัวท่านกินิมไปอยู่ปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน 

          วันที่พบกันปีนั้น สี จิ้นผิง ได้นำภาพ “โรงเรียนแปดหนึ่ง” มาให้เพื่อนชาวลาวได้ดู เพื่อรำลึกความหลัง ประธานสียังจดจำภาพนักเรียนชาวลาวได้แม่นยำ

          “สมัยนั้น พวกท่านถูกจับจ้องจากนักเรียนจีน ข้าพเจ้ายังจำได้ นักเรียนผู้ชายของพวกท่าน นุ่งชุดกำมะหยี่สีตับหมู ส่วนนักเรียนหญิงนุ่งชุดประจำชาติ”

          ก่อนจากกัน สี จิ้นผิง กล่าวว่า "ข้าพเจ้าหวังว่า พวกท่าน จะสืบต่อเสริมขยายบทบาทที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้ในภารกิจผูกมิตรลาว-จีน"

          เมื่อลาวเปลี่ยนแปลงในปี 2518 ครอบครัวพนเสนา ก็เดินทางออกจากจีนกลับสู่ สปป.ลาว ได้เข้ามารับราชการในรัฐบาลของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว 

          ยุคที่สหายจูมมะลี ไซยะสอน เป็นประธานประเทศ มีการฟื้นความสัมพันธ์สองพรรคพี่น้อง “ลาว-จีน” และทุนจีนหลั่งไหลเข้ามาในลาว พร้อมกับครอบครัวพนเสนาได้เข้ามาอยู่วงในศูนย์อำนาจ และได้เป็นรัฐมนตรี 4 กระทรวง

          จากวันที่เจอกันครั้งแรกปี 2553 มาถึงปี 2560 “สี จิ้นผิง” ในฐานะประธานาธิบดี มาเยือนลาวอีกครั้ง ก็ได้พบกับครอบครัว “พนเสนา” ที่เป็นเพื่อนเก่า และเป็นเพื่อนมิตรที่ดีของจีน

           อนึ่ง หากใครสนใจเรื่องราวเหล่านี้ให้ลึกซึ่งยิ่งขึ้น ติดตามได้จากวิดีโอเรื่อง "ผ่านฟ้าฝนลมแดง ความฮักแพงบ่จืดจาง" จัดทำโดยรัฐบาลจีน ตามลิงค์ด้านล่าง 

https://www.facebook.com/crifm93/videos/2083220688573352/

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ