Lifestyle

“ท่านมุ้ย” ตามรอยองค์ภูมินทร์ ขวบปีแห่งแก่นแท้ของชีวิต

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ครั้งที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านมากที่สุด ช่วงที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “ศูนย์รวมแห่งดวงใจ” ซึ่งเวลานั้นท่านมุ้ยได้ตามเสด็จพระองค์ท่าน 1 ปีเต็ม !!

              คนในข่าววันนี้ มาย้อนความทรงจำของ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง เคยเล่าว่า ตัวท่านนั้นเป็นข้าในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาตลอดชีวิต

              โดยครั้งที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านมากที่สุด คือ ช่วงที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “ศูนย์รวมแห่งดวงใจ” (Center of Nation) ซึ่งเวลานั้นท่านมุ้ยได้ตามเสด็จพระองค์ท่าน 1 ปีเต็ม !!

              ทั้งนี้ หลายคนคงจำได้ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นภาพยนตร์เทิดพระเกียรติบันทึกพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผ่านฟิล์มภาพยนตร์ 35 มม. ออกฉายตามโรงภาพยนตร์ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 5 ธันวาคม พ.ศ.2530 กำกับโดย ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล และ บรรจง โกศัลวัฒน์ ความยาว 92 นาที

              และขวบปีนั้น ท่านมุ้ย ได้นำพระราชจริยวัตรอันงดงาม และน้ำพระราชหฤทัยอันสูงส่งหาที่เปรียบมิได้ของพระองค์หลายอย่างมาเล่าสู่กันฟัง เช่น บางครั้งทรงขับรถไปเยี่ยมราษฎรด้วยพระองค์เอง ท่านมุ้ยนั่งอยู่ด้านหลังเพื่อใช้กล้องบันทึกภาพไปด้วย บางครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินขึ้นเขา แล้วท่านมุ้ยเกิิดหกล้มขึ้นมา พระองค์ก็ทรงฉุดให้ลุกขึ้น

              “ตอนนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมพรรษา 60 พรรษาแล้วนะ ส่วนผมก็ 50 กว่าเห็นจะได้ พระองค์ท่านจึงตรัสว่า “ทำไมถึงสู้แรงเราไม่ได้” (หัวเราะ) นั่นเป็นครั้งหนึ่งที่ผมประทับใจมาก”

              สำหรับเหตุผลที่ท่านมุ้ยตั้งพระทัยทำงานนี้ เพราะเรียนมาทางด้านธรณีวิทยา ตั้งพระทัยมาทำงานด้วยใจรัก และยังรู้สึกซาบซึ้งที่ได้แบ่งเบาพระราชภาระส่วนหนึ่ง

              “พระเจ้าอยู่หัว (ร.9) ทรงงานหนักอยู่ตลอดเวลา ภารกิจหลักของพระองค์ท่านคือเรื่องน้ำ ถ้าน้ำท่วมพระองค์ก็ทรงหาทางช่วยบรรเทาทุกข์ ถ้าน้ำแห้งพระองค์ท่านก็พระราชทานฝนหลวงแก่ประชาชน” (ข้อมูลจากนิตยสารลิปส์ ฉบับครบรอบ 11 ปี ช่วงเดือนกรกฎาคม 2553)

              สำหรับคนไทย “ท่านมุ้ย” ได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับภาพยนตร์แถวหน้า แต่อีกด้านหนึ่งท่านเป็นพระอนุวงศ์ลำดับที่ 24 ในลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทย (เป็นลำดับที่ 11 ในฝ่ายชาย) ปัจจุบันทรงดำรงตำแหน่งองค์ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ

              ประสูติเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2485 สำหรับผลงานที่ผ่านมานั้น “ท่านชายมุ้ย” หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส วิชาเอกสาขาธรณีวิทยา และวิชาโท สาขาภาพยนตร์ โดยเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนกับฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา และโรมัน โปลันสกี้ ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อก้องโลก

              จากนั้นทรงก่อตั้ง บริษัท พร้อมมิตรภาพยนตร์ (จากชื่อซอยพร้อมมิตร ถนนสุขุมวิท ที่ตั้งของวังละโว้และโรงถ่ายละโว้ภาพยนตร์ของพระบิดา) มีผลงานกำกับละครโทรทัศน์ “ห้องสีชมพู” (2512), “เงือกน้อย” (2515), และ “หมอผี” (2516)

              ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทรงกำกับคือ “มันมากับความมืด” เมื่อปี 2514 และทรงได้รับรางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ดีเด่น ปี 2516 จากเรื่อง “เขาชื่อกานต์” ส่งให้ สรพงศ์ ชาตรี เป็นพระเอกยอดนิยมต่อมา

              จากนั้นทรงกำกับภาพยนตร์ชื่อดังอีกหลายเรื่องและได้รับรางวัลอีกมากมาย เช่น มือปืน 2 สาละวิน (2536) เสียดาย (2537) เสียดาย 2 (2539) พันท้ายนรสิงห์ (2558) ฯลฯ และที่คนไทยจดจำได้ไม่มีวันลืม คือ ภาพยนตร์ “สุริโยไท” (2544) และ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” (2550-2558)

              ทั้งนี้ ช่วงปี 2544 ท่านยังได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ผู้สร้างภาพยนตร์-ผู้กำกับการแสดง) ประจำปี 2544 อีกด้วย

              ท่านมุ้ยยังเล่าว่า ในส่วนของ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็สร้างขึ้นตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ด้วยทรงเห็นว่าคนไทยสมัยนี้ไม่ค่อยรู้เรื่องประวัติศาสตร์ จึงอยากให้คนรุ่นหลังได้รู้จักรากเหง้าของเรา ซึ่งท่านมักจะรับสั่งว่า ได้พยายามศึกษาข้อมูลเพื่อทำให้ใกล้เคียงกับประวัติศาสตร์มากที่สุด

              และยังมีภาพยนตร์เพลงสรรเสริญพระบารมี จัดทำขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ออกฉายครั้งแรก 14 พฤศจิกายน 2559

              สำหรับ “แก่นแท้” ข้อหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากการตามเสด็จเป็นเวลา 1 ปี คือ เรื่องที่บอกว่า “ประทับใจ” คือ ทรงสอนว่าจงทำงานให้หนักโดยไม่จำเป็นต้องเอาหน้า ยิ่งไปกว่านั้นคือทรงงานให้เราเห็นเลย พระองค์เสด็จฯ เข้าไปในป่าดงซึ่งเป็นพื้นที่ของผู้ก่อการร้ายในสมัยนั้น แม้แต่ทหารยังไม่ค่อยกล้าเข้าไปเลย

              “ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวมาก นับเป็นบุญของชาวไทยที่มีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเสียสละขนาดนี้ แต่คนรุ่นใหม่อาจจะมองไม่เห็น นี่คือที่มาของความแตกสามัคคีที่ทำให้บ้านเมืองเราสับสนวุ่นวายกันอยู่ทุกวันนี้”

///////////////////////

ขอบคุณข้อมูลจากนิตยสารลิปส์ ฉบับครบรอบ 11 ปี ช่วงเดือนกรกฎาคม 2553

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ