กรณี บทกวีคำผวน ที่ฝากถึงปู ยิ่งลักษณ์ กำลังทำให้เกิดความยุ่งยากในหลายฝ่าย เรื่องนี้ จำลอง ฝั่งชลจิตร ขอพูดบ้าง!!!
เป็นคนธรรมดาๆ ผิดพลาดได้เสมอ เมื่อเขาพลาดหรือเลือกแสดงความคิดเห็นผิดจังหวะ ผู้มีปัญญาควรซ้ำเติมหรือให้อภัย เขาไม่ใช่ฆาตกรฆ่าข่มขืนหรือโจรปล้นฆ่าเป็นนิสัย
กรณี ธัญญา สังขพันธานนท์ หรือ ไพทูรย์ ธัญญา นักเขียนรางวัลซีไรต์และศิลปินแห่งชาติ เขียนบทกวีใช้กลวิธีคำผวนวิจารณ์การกระทำของอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงที่ไม่มาฟังคำพิพากษาของศาลดังที่ทราบกันดี
ในชีวิตจริงเขาเป็นข้าราชการที่ดี เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยสอนวิชาการวรรณกรรมแก่นักศึกษามาจนเกษียณราชการ นอกจากสร้างงานวรรณกรรมเขายังเขียนตำราวรรณกรรมวิจารณ์ เช่นเดียวกับ เจ.เอ็ม. คูสต์เซียหรือ อุมแบร์โต้ เอโก ศาสตราจารย์วิชาวรรณคดีที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ทั้งเป็นอาจารย์จัดค่ายวรรณกรรมฝึกทักษะการอ่านเขียนให้ศิษย์ติดต่อกันมา 20 ปี ค่ายวรรณกรรมสร้างนักอ่าน คนรักการอ่าน นักเขียนและนักสื่อสารมวลชนนับร้อยคน
การวิจารณ์การเมืองผิดจังหวะหรือผิดพลาดเพียงครั้งเดียว สื่อออนไลน์ถล่มเสียจนไม่มีที่ยืน โดยเฉพาะฝ่ายอ้างตัวว่าเป็นประชาธิปไตยและชิงชังเผด็จการ การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นสิทธิที่ควรได้รับความเคารพ แม้เป็นฝ่ายตรงกันข้าม กรณีของธัญญาผมคิดว่าเรากำลังอยู่ในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมจีนที่พวกเรดการ์ดคอยไล่สำรวจและกำจัดคนคิดต่าง
การวิพากษ์วิจารณ์ของหมู่ปัญญาชนจะหยิบยกทฤษฎีเกี่ยวกับสิทธิสตรี เพศสภาพหรือกติกาสากลมากล่าวอ้างได้มากมาย แต่ลืมสำรวจกฎธรรมชาติคือไม่ว่าทางการเมืองหรือไม่การเมืองก็ตาม เราทุกคนสามารถผิดพลาดได้เสมอ
ความแตกแยกและการแบ่งฝ่ายต่างหากที่ทำให้เรารีบขย้ำเหยื่อจนลืมความเมตตา ผมคิดย้อนกลับไปว่าถ้าการปฏิวัติของเราสำเร็จเมื่อสามสิบห้าปีที่แล้ว เราอาจมีสุสานหัวกะโหลกให้รำลึกเหมือนเพื่อนบ้าน หรือมีผู้คนล่องเรือหนีตายไปประเทศที่สาม โบราณสถานและศิลปะเก่าๆ อาจถูกทุบทำลายหรือเผาด้วยความเคียดแค้นชิงชังก็ได้ แล้วค่อยมานั่งเสียใจกันภายหลัง ดูประเทศจีนหลังยุคเหมาเจ๋อตง เป็นตัวอย่าง เราสามารถดูความน่าขยะแขยงจากภาพยนตร์ของจางอี้โหมว หรือ เฉินไก่เกอ อ่านงานเขียนเสียดเย้ยยุคสมัยอันอัปลักษณ์ของเกาสิงเจียนหรือม่อเหยียน
การเผาหนังสือ ‘ก่อกองทราย’ และงานเล่มอื่นๆ ของธัญญาสะท้อนหน่ออ่อนสิ่งที่ิเกิดในการปฏิวัติวัฒนธรรมจีน เผาทำลายโดยไม่แยกแยะ เผาด้วยความเกลียดชัง
บทความชิ้นนี้อาจนำความยุ่งยากมาสู่ผมก็ได้ ในฐานะคนธรรมดาผมอาจผิดจังหวะก็ได้ เผลอ ๆ ถูกเรียกไปอบรมปรับทัศนคติอย่าง คสช. เขาทำ แต่ถ้าผิดจากเวลานี้ ผมควรเขียนเรื่องความเป็นมนุษย์เวลาไหน นอกจากเวลาที่ประชาชนปัญญาชนหันหน้ามาใช้สติปัญญาเล่นงานกันเอง ในกลุ่มปัญญาชนที่กำลังเอาโทษธัญญาหลายคนเป็นเพื่อนที่ดีของผม อีกหลายคนผมอ่านและให้ความเคารพงานเขียนงานแปลของเขา
มาถึงตรงนี้ ผมนึกถึงถ้อยคำของเปาโล แฟร์ นักการศึกษาชาวบราซิลที่ปัญญาชนหัวก้าวหน้าให้ความนับถือ “จะเป็นอย่างไรถ้าเราค้นพบว่า วิถีชีวิตแห่งปัจจุบัน เป็นศัตรูต่อภารกิจ ในการเป็นมนุษย์อย่างเต็มภาคภูมิของเรา”---
ผมตระหนักดีว่าบ้านเมืองเรากำลังน่าสิ้นหวัง คำว่า ‘ปรองดอง’ กลายเป็นเครื่องมือยื้อเวลาของผู้กุมอำนาจ พวกเขานั่งกระหยิ่มมองความแตกแยก มองเห็นจุดอ่อนและความอ่อนเปลี้ยเสียขวัญในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะปัญญาชนที่เป็นกลไกสื่อความคิดไปสู่สังคมได้
ไม่ต้องยกทฤษฎีใด ๆ มาอ้างก็เห็นเต็มตาว่าสังคมเราอ่อนแอลงไปทุกวัน จะยินยอมให้เป็นอย่างนั้นก็เอาเถิด
..................................................................
จำลอง ฝั่งชลจิตร : นสพ.คมชัดลึก วันที่ 31 สิงหาคม 2560
ข่าวที่เกี่ยวข้อง