Lifestyle

มรดกป๋าเติ้ง“ท็อป วราวุธ”กับพรรคเลือดสุพรรณ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

มรดกป๋าเติ้ง“ท็อป วราวุธ”กับพรรคเลือดสุพรรณ

 

          กลับมาเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งในวันนี้ ท็อป-วราวุธ ศิลปอาชา ลูกชายคนเดียวของ ป๋าเติ้ง-บรรหาร ศิลปอาชา น้องชายของ นา-กัญจนา ศิลปอาชา ก็อายุย่างเข้าปีที่ 44 แล้ว และว่างเว้นจากการเมืองใหญ่มากว่า 8 ปี หลังจากที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคชาติไทย ในปี 2551

          การถูกตัดสิทธิทางการเมืองมีผลต่อชีวิตใครหลายคน แต่ดูเหมือนสำหรับวราวุธ ลูกป๋าเติ้ง แล้ว มีความเปลี่ยนแปลงมากเป็นพิเศษ แกร่งขึ้น กล้าขึ้น มิใช่นักการเมืองรุ่นใหม่หน้าใสไร้เดียงสาอย่างแต่ก่อน

          มากกว่านั้นคือ หุ่นฟิตเฟิร์มขึ้น จนเป็นที่แปลกตา สบายตัว-สบายใจ

          หลังถูกตัดสิทธิฯ ท็อป-วราวุธ เดินหน้าสู่สนามกีฬา ขึ้นแท่นเป็น “ประธานสโมสรฟุตบอลสุพรรณบุรีเอฟซี” นำทีม “ช้างศึกยุทธหัตถี” ชิงชัยไทยพรีเมียร์ลีก ฮือฮาสุดขีดเมื่อซื้อตัว “ชาริล ซัปปุยส์” จาก “บุรีรัมย์ยูไนเต็ด” มาร่วมทีมในปี 2557

          ถึงแม้ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับบทบาทประธานสโมสรฯ ก็ตาม แต่งานด้านการเมือง ใช่ว่าจะทิ้งร้างไปเสียทีเดียว

          เห็นได้ชัดจากวันที่ บิ๊กเติ้ง จากไปเมื่อปีที่แล้ว ท็อป-วราวุธ สามารถรับมือกับคำถามและสถานการณ์ความกดดันเรื่องการรับไม้ต่อ "มรดกทางการเมือง" ที่พ่อให้ไว้จากทั้งในพรรคและนอกพรรคได้เป็นอย่างดี "

          “ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองใด ๆ แต่ว่าการทำงานในจังหวัดสุพรรณบุรีนั้นยังคงมีการทำงานอย่างต่อเนื่องแน่นอน เพราะหัวใจ และจิตวิญญาณของนายบรรหารได้ทุ่มเทให้กับจังหวัดสุพรรณบุรีมากมาย ดังนั้นฐานะที่เป็นลูก ๆ เราก็จะต้องสืบสานต่อเจตนารมย์ของคุณพ่อดูแลจังหวัดชาวสุพรรณบุรีต่อไป” ท็อป-วราวุธ กล่าวไว้เช่นนั้น

          หรือเมื่อมีเหตุการณ์ความเดือดร้อนใด ก็เข้าไปช่วยเหลือหลายครั้ง ทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี ในนาม “มูลนิธิบรรหาร-แจ่มใส ศิลปอาชา”

          อย่างช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 2559 ที่ผ่านมาก็ได้นำทีมอดีต ส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา ไปแจกข้าวสารอาหารแห้งผู้ประสบภัยน้ำท่วม ถึงพื้นที่จ.เพชรบุรี ภายหลังที่ได้รับการประสานจาก ยุทธพล อังกินันทน์

          ถึงดูเป็นกิจกรรมเล็กๆ แต่การลงพื้นที่ครั้งนั้น ถือว่าผลยิ่งใหญ่ เพราะตอกย้ำถึง “สายสัมพันธ์” อันแนบแน่นระหว่าง อดีตส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา กลุ่มหนึ่งที่ไม่เคยจางหายไปพร้อมกับการใส่ใจทุกข์ความเดือดร้อนชาวบ้าน

          เส้นทางสายการเมืองของ วราวุธ ถูกวางตัวเป็น “ทายาททางการเมือง” ของบิ๊กเติ้งมาตั้งแต่สมัยเรียนจบมาใหม่ๆ

          เรื่องนำความรู้ที่ร่ำเรียนในระดับปริญญาตรีทางด้านวิศวกรรมเครื่องกล จากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน ประเทศอังกฤษ และปริญญาโททางด้านการบริหารธุรกิจ-การเงิน จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน สหรัฐอเมริกา มาใช้มากน้อยแค่ไหนไม่รู้ 

          แต่ที่แน่ๆ คือ ทันทีที่ลงสมัครสมัยแรกในปี 2544 ส.ส.หนุ่มวัย 28 ปี ก็ได้รับเลือกให้เป็น ส.ส.สุพรรณบุรี พรรคชาติไทย อย่างไม่น่าแปลกใจ จากนั้นผูกขาดส.ส.มาอีก 2 สมัย ทั้งในปี 2548 และ 2550

          ขึ้นตำแหน่งสูงสุดเป็น “รมช.คมนาคม” ในรัฐบาล “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ก่อนถูกถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคชาติไทยในปี 2551 ในเวลานั้นอายุ 35 ย่างเข้า 36

          7 ปีในแวดวงการเมืองผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนสิ่งที่วราวุธ ได้ค้นพบคือ สิ่งที่ยากที่สุดคือ “ลูกไม้ใต้ต้น” ของบิ๊กเติ้ง ที่ถูกจับตามองมาตลอด ทั้งในและนอกพรรค แต่ก็ยากเหลือเกินเพราะโจทย์นี้ “ติดตัว” มาตั้งแต่เกิด

          “สิ่งสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดคือการเป็นลูกของนายบรรหาร” วราวุธ กล่าวในวันที่อายุเลยเลข 4 มาแล้ว

          หลังการจากไปของบิ๊กเติ้ง ก้าวเดินบนสายการเมืองยิ่งแจ่มชัด

          “...พรรษาทางการเมืองของผมยังน้อย ความตั้งใจของเราเต็มเปี่ยม เราก็จะพยายามทำเต็มที่ในการที่จะสืบสานเจตนารมย์ของคนที่ชื่อ “บรรหาร ศิลปอาชา” ถึงแม้ตัวท่านไม่อยู่แล้ว แต่ตำนานของคนที่ชื่อบรรหาร ต้องอยู่ แล้วตำนานของคนที่ชื่อบรรหารนั้นยังจะต้องสืบสานต่อไป ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำจากนี้ไปก็เป็นการสานต่อจากสิ่งที่ท่านทำไว้ให้จบ ก็เป็นงานที่ใหญ่หลวง...”

          ต่อคำถาม “มรดกทางการเมือง” นั้น เป็นประเด็นที่ ท็อป-วราวุธ เจอมาตลอดก็ว่าได้ โถมกระหน่ำเข้ามาอีกครั้งช่วงที่พรรคสิ้นบิ๊กเติ้ง กระทั่งถึงวันนี้ที่การเลือกตั้งครั้งใหม่-ใกล้เข้ามาทุกที กับว่าที่ “หัวหน้าพรรคคนใหม่”

          “พรรคชาติไทยพัฒนาไม่ได้เป็นสมบัติของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง” วราวุธ ยืนยัน

          ถึงแม้ยังย้ำคำเดิมว่า “ยังเร็วไป” ทั้งเรื่อง “หัวหน้าพรรค” หรือ “อนาคตของพรรค” และอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเมือง แต่วราวุธ ก็มีคำตอบหลายเรื่อง

          อย่างน้อยๆ เรื่อง “ทิศทางการบริหาร” พรรคแนวใหม่ในอนาคต ไม่ใช่สไตล์ “หลงจู๊” ที่ชี้เป็นชี้ตายแต่เพียงผู้เดียวแล้ว แต่เป็น “ทีม” ดังที่ได้เรียนรู้จากการทำทีมฟุตบอลแล้วนำมาปรับใช้

          “โชคดีที่เราทำฟุตบอลมาตลอด เราต้องทำเป็นทีม สไตล์วันแมนโชว์ จากนี้เราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้”

          รวมถึง “อนาคต” ของพรรค ที่ไม่จำเป็นต้องพรรคใหญ่ แต่ขอให้ “รักษาฐานที่มั่นเดิม”

          มากกว่านั้น เป้าหมายสูงสุดคือ การทำให้พรรคชาติไทยพัฒนาเป็น “สถาบันทางการเมือง” ก็ประกาศเป็นที่เรียบร้อย

          เจตนารมย์ “แจ่มชัด” แต่เส้นทางจะ “แจ่มใส” หรือไม่...มีคำตอบ-อีกไม่นาน

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ