ภาพข่าวโดย...อัจฉรา วิเศษศรี
จากกรณีแม่เลี้ยงทำร้ายลูกเลี้ยงซึ่งเป็นเด็กชาย อายุ 14 ปี จนต้องหนีออกจากบ้านที่จังหวัดปทุมธานีด้วยการปั่นจักรยานไปที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพฯ แล้วติดต่อให้แม่แท้ๆ มารับไปอยู่ด้วยที่จังหวัดระยอง ต่อมา นางนฤกมลวรรณ แม่ของ ด.ช. 14 ปี ได้พาตัวลูกที่ถูกทำร้ายจนร่างกายบอบช้ำมีบาดแผลทั่วตัวเข้าแจ้งความที่ สภ.คลองหลวง ปทุมธานี และเจ้าหน้าที่ตามจับตัว น.ส.นรินทร ซึ่งเป็นแม่เลี้ยง และนายอัครเศรษฐ์พร พ่อแท้ๆ ได้ที่บ้านญาติในกรุงเทพมหานคร ล่าสุด ศาลได้ให้ประกันตัวทั้งสองชั่วคราว ซึ่งนางนฤกมลวรรณและญาติที่บ้านฉาง ระยอง ต่างทราบข่าวแล้ว
นางนฤกมลวรรณ กล่าวว่า ทั้งสองได้ประกันตัวออกมาก็เป็นสิทธิ์ที่เค้าทั้งสองจะต้องขอประกันตัว ซึ่งตนเองเคารพในกระบวนการพิจารณาของศาล และเชื่อในกระบวนการยุติธรรม จึงไม่มีความหวาดกลัว โดยยืนยันว่าจะเอาผิดกับคนที่ทำกับลูก เพราะลูกเล่าให้ฟังเหมือนกับที่บอกกับเจ้าหน้าที่ เชื่อว่าลูกถูกทำร้ายจริง ส่วนน้องได้วางอนาคตไว้แล้วว่าถ้าเสร็จเรื่องคดี ร่างกายและจิตใจดีเป็นปกติ ก็จะพาเข้าโรงเรียนใกล้บ้าน เดินทางไปกลับโรงเรียนถึงบ้านไม่เกิน 3 กม. จะให้เค้าเรียนจนจบและดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อน้องรู้ว่าจะได้อยู่กับแม่ ก็ทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้รอให้คดีจบ และให้แผลตามร่างกายหายดี อีกทั้งอยู่ระหว่างการทำเรื่องย้ายน้องกลับมาอยู่ด้วย ที่ผ่านมาติดตามหาลูกตลอดแต่ถูกกีดกันจึงไม่เจอลูก
นายประสิทธิชัย เพิ่มเติมทรัพย์ อายุ 42 ปี กล่าวว่า ระหว่างนี้ต้องใช้เวลาดูแลนางนฤกมลวรรณอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้อยู่ลำพัง เนื่องจากสุขภาพไม่ดี ส่วนกรณีที่พ่อและแม่เลี้ยงได้ประกันตัวออกมา ก็ยอมรับว่า เพิ่มความเป็นห่วงมากขึ้น จึงพยายามมาอยู่รวมๆ กันกับญาติๆ แต่ไม่ถึงกับหวาดกลัวว่าจะถูกคุกคาม เพราะถ้ามาก็ยิ่งจะทำให้เค้าผิดเพิ่มขึ้น และทุกคนก็เชื่อว่าน้องถูกทำร้ายจริงๆ ยืนยันว่าน้องเป็นเด็กดี ไม่โกหก ทุกอย่างที่น้องเล่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมด
นางแพร ยายของ ด.ช. 14 ปี บอกว่า พอเห็นน้องวันแรกที่ได้เจอแทบช็อก เพราะหลานเปลี่ยนไปมาก จากเนื้อตัวที่สะอาดสะอ้าน มีแต่บาดแผล ซึ่งตอนนี้เชื่อว่าศาลจะให้ความยุติธรรม ส่วนการที่ทั้งสองได้ประกันตัวมา ก็ไม่กลัวว่าเค้าจะมาทำร้ายหรืออย่างไร เพราะเค้าก็คน เราก็คน และที่มีข่าวว่า แม่เลี้ยงไม่ได้ทำร้าย แต่บาดแผลเกิดจากพ่อแท้ๆ นั้น ตนก็ไม่เชื่อ เพราะเมื่อตอนที่พ่อของน้องอยู่ด้วยกันที่ระยองนั้น ทุกคนรู้จักนิสัยของพ่อน้องดีว่า เป็นคนเงียบ นิ่งเฉย ไม่มีนิสัยโหดร้าย จึงไม่น่าจะตีหรือทำร้ายน้องได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง