ข่าว

หวั่นผลักดันเขตอุทยานถ้ำหลวงกระทบที่ทำกิน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ชาวผาหมีหวั่นแผนผลักดันเขตอุทยานถ้ำหลวงกระทบที่ทำกิน สจ.แม่สาย ระบุเป็นทางเลือกที่ดี ทำให้มีงบฯพัฒนาสร้างรายได้ให้ชุมชน

 

          วันที่ 22 ก.ค. 61 - หลังจากที่นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้ออกมาเปิดเผยว่าจะมีการผลักดันให้วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ยกระดับเป็นอุทยานแห่งชาติ หลังปฏิบัติการช่วยเหลือทีมฟุตบอลหมูป่า ทีนทอล์ค อะคาดามี จำนวน 13 คน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างปิดถ้ำเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ และรอให้น้ำลดเพื่อเคลียร์อุปกรณ์ที่ค้างอยู่ภายในถ้ำออก ซึ่งในปัจจุบันประชาชนในพื้นที่ยังไม่ทราบเกี่ยวกับการยกระดับเป็นอุทยานดังกล่าว โดยชาวบ้านมีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

 

          โดยข้อมูลจากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) เมื่อปี 2529 พบว่า วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน มีเนื้อที่ 5,448.81 ไร่ โดยเป็น 1 ใน 36 เขตวนอุทยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) และถือเป็นเขตที่เป็นป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยนางนอน ได้รับการดูแลโดยกรมอุทยานแห่งชาติฯ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงชันหลายลูกติดต่อกัน ติดต่อกับเทือกเขา ชายแดนไทย-เมียนมา ปัจจุบันมีถ้ำหลายแห่งอยู่ในเขตวนอุทยานฯ

 

หวั่นผลักดันเขตอุทยานถ้ำหลวงกระทบที่ทำกิน

 

          น.ส.ศรินรัตน์ พฤกษาพันธ์ทวี อายุ 43 ปี ลูกสาวของนายมนตรี พฤกษาพันธ์ทวี หรือพ่อหลวงซาเจ๊ะ ปัจจุบันประกอบกิจการร้านกาแฟ “ภูฟ้าซาเจ๊ะ” ตั้งอยู่หมู่บ้านผาหมี หมู่ 6 ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย กล่าวว่าปัจจุบันชาวบ้านส่วนใหญ่ยังไม่ทราบเรื่องการจะประกาศให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติดังกล่าว จึงอยากทราบข้อมูลข้อดีและข้อเสียเพื่อจะได้นำมาพิจารณาหรือปรับตัวกันต่อไป รวมทั้งไม่ทราบขอบเขตของพื้นที่ที่จะจัดตั้งด้วย เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าสงวนแห่งชาติที่อยู่ในการรับผิดชอบของหลายหน่วยงาน จึงไม่แน่ใจว่าหากเป็นเขตอุทยานแห่งชาติจะครอบคลุมหรือขยายไปมากน้อยเพียงใด

 

          กรณีมีชาวบ้านอยู่ในเขตที่จะประกาศนั้นเกรงว่าจะได้รับผลกระทบเรื่องที่อยู่อาศัยและทำกิน เพราะบางพื้นที่เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ชาวบ้านบางส่วนเช่าอาศัยและทำกินอยู่จึงไม่มีเอกสารสิทธิ์ พวกเขาก็อยู่มานานตั้งแต่บรรพบุรุษก่อนการประกาศเป็นเขตวนอุทยานเมื่อปี 2529 ดังนั้นจึงอยากให้เจ้าหน้าที่ได้ให้ข้อมูลหรือรายละเอียดก่อนจะดำเนินการใดๆ ด้วยเพื่อให้ชาวบ้านได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจหรือปรับตัวได้ทัน

 

          ด้านนายอนุภาส ปฏิเสน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เขต อ.แม่สาย กล่าวว่า พื้นที่ดังกล่าวประกาศเป็นเขตวนอุทยานมานานมากกว่า 30 ปีแล้ว ซึ่งจากการสอบถามข้อมูลไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทราบว่าด้วยเนื้อที่จำนวนมากดังกล่าว เจ้าหน้าที่ได้รับงบประมาณปีละเพียงประมาณ 450,000 บาท ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับขนาดพื้นที่ ทำให้ที่ผ่านมาการพัฒนาเป็นไปด้วยความยากลำบากหรือแทบเดินหน้าไม่ได้เลย เมื่อท้องถิ่นทุกระดับทั้ง อบจ.และอบต. อยากจะเข้าไปช่วยพัฒนาก็ทำไม่ได้เต็มที่ เพราะต้องนำเสนอเรื่อผ่านกรมอุทยานแห่งชาติก่อน ทำให้พื้นที่มีสภาพที่ไม่ได้รับการพัฒนาจนถึงปัจจุบัน

 

หวั่นผลักดันเขตอุทยานถ้ำหลวงกระทบที่ทำกิน

 

          ดังนั้นจึงเห็นว่าแนวทางการประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติฯ ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีเพราะจะได้มีการจัดสรรงบประมาณเข้าไปพัฒนาฟื้นฟูสภาพพื้นที่ได้มากขึ้นและเขตดังกล่าวยังสามารถจัดเก็บรายได้เองเพื่อนำมาบริหารจัดการภายในอีกด้วย โดยเฉพาะในอนาคตเชื่อว่าหากมีการเปิดให้เข้าชมถ้ำได้อีกครั้งจะมีผู้คนจากทั่วโลกไปเยือนเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านที่อยู่รายรอบก็สามารถจำหน่ายสินค้าสร้างรายได้

 

          นายอนุภาส กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ถือเป็นทางเลือกหนึ่งเท่านั้นโดยอาจมีวิธีการอื่นๆ ที่เหมาะสมกว่าหากว่าการประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติมีผลกระทบเกินไป และหากมีวิธีการที่จะพัฒนาพื้นที่ให้ดีมากกว่าการเป็นวนอุทยานก็ควรนำมาพิจารณาดำเนินการได้ต่อไป.

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ