
ปิดคดีหวยอลเวง"ลุงศิษย์"ได้ใช้เงิน6ล้านแล้ว
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ตัดสินยกฟ้องคดีเจ้าของร้านใน อ.มัญจาคีรี แจ้งจับ "ลุงศิษย์" คนถูกรางวัลที่ 1 กล่าวหาว่าวิ่งราวสลากกินแบ่ง อายัดเงินรางวัล 6 ล้านกว่าบาทนอนนิ่งในธนาคาร ปิดคดีหวยอลเวงขอนแก่น หลังสู้ยืดเยื้อ 5 ปี เจ้าของร้านรับคำพิพากษายันไม่สู้ต่อ ด้านเศร
ในที่สุดคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชนเมื่อปี 2547 และต่อสู้ทางกฎหมายยืดเยื้อมานานกว่า 5 ปีก็มีข้อยุติ คดีนี้เกิดหลังจากนายศิษย์ กิจพฤกษ์ อายุ 76 ปี และ น.ส.ดรุณี กิจพฤกษ์ บุตรสาว อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 285 หมู่ 13 บ้านหัน ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น ผู้โชคดีถูกรางวัลที่ 1 สลากกินแบ่งรัฐบาลงวดวันที่ 16 พฤษภาคม 2547 หมายเลข 589207 และรางวัลข้างเคียงรวมเป็นเงิน 6,138,000 บาท
แต่เมื่อนำสลากไปขึ้นเงินกลับถูก นางรสรินทร์ ศักดิ์นาราโรจน์ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 26/27 ถ.กลางเมือง ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น เจ้าของร้านที่ขายลอตเตอรี่ให้ลุงศิษย์ แจ้งตำรวจจับ โดยกล่าวหาว่า สลากที่นำไปรับรางวัลถูกนายศิษย์ขโมยไป ขณะที่อีกฝ่ายก็อ้างความบริสุทธิ์ คดีจึงอยู่ในชั้นศาลและมีการอายัดเงินรางวัลทั้งหมดไว้ที่ธนาคารออมสิน สาขามัญจาคีรี ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ต่อมาวันที่ 21 กรกฎาคม 2549 ศาลแขวงขอนแก่นพิพากษาให้ยกฟ้อง แต่นางรสรินทร์ได้ยื่นอุทธรณ์
ล่าสุด เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 8 กันยายน ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ขึ้นนั่งบัลลังก์ที่ 6 อ่านคำพิพากษาพิจารณาคดีหมายเลขคดีดำที่ 3717/2548 หมายเลขคดีแดงที่ 2618/2549 กรณีที่ นางรสรินทร์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายศิษย์ โดยกล่าวหาว่านายศิษย์ขโมยลอตเตอรี่หมายเลข 589207 ที่ถูกรางวัลที่ 1 ไปจากแผงขายลอตเตอรี่ที่ตั้งไว้ในตู้โชว์หน้าบ้านไป
โดยศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้อ่านคำพิพากษาว่า เดิมคดีนี้ โจทก์ยื่นฟ้องนายศิษย์ กิจพฤกษ์ จำเลยที่ 1 น.ส.ดรุณี กิจพฤกษ์ จำเลยที่ 2 ต่อศาลจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2547 โดยกล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2547 เวลา 05.45 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ลักเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลพิเศษ ประจำงวดที่ 16 พฤษภาคม 2547 ฉบับเลขที่ 589206, 589207, 589208, 589209 ราคาฉบับละ 90 บาท รวมเป็นเงิน 360 บาท ซึ่งสลากกินแบ่งรัฐบาลพิเศษดังกล่าววางอยู่ในตู้กระจกของนางรสรินทร์
ต่อมาวันที่ 16 พฤษภาคม 2547 สลากหมายเลข 589207 ถูกรางวัลที่ 1 และสลากเลขที่ 589206 และ 589208 ถูกรางวัลข้างเคียง จำเลยที่ 1 นายศิษย์ได้มอบสลากกินแบ่งรัฐบาลทั้งสามฉบับ ซึ่งโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ฉกฉวยไปจากโจทก์นำไปให้จำเลยที่ 2 คือ น.ส.ดรุณี ไปขึ้นเงินรางวัลที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2547 ได้เงินกว่า 6.1 ล้านบาท เหตุเกิดที่ ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น
การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายอาญาคือ ลักทรัพย์,วิ่งราวทรัพย์, รับของโจร และในคำขอส่วนแพ่งของโจทก์ ให้อายัดเงินทั้งหมดที่ยังอยู่ในบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 ในธนาคารออมสิน สาขามัญจาคีรี จนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ต่อมาศาลแขวงขอนแก่นได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2549 โดยพิพากษาว่ายกฟ้อง เพราะพิเคราะห์จากพยานหลักฐานโจทก์แล้วไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ซึ่งทางโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 เพื่อให้เปิดพิจารณาคดีดังกล่าวขึ้นใหม่ โดยศาลได้สืบพยานแล้วพิจารณาไต่สวนว่า จากการวิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ที่ยื่นฟ้องจำเลยแล้วเห็นว่าไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟัง เนื่องจากศาลไม่เชื่อว่าโจทก์ให้เห็นเหตุการณ์จริงว่าจำเลยได้ขโมยเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถูกรางวัลที่ 1 และรางวัลข้างเคียง เนื่องจากโจทก์พบเห็นจำเลยหยิบกระดาษแล้วพับใส่กระเป๋า ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นสลากกินแบ่งรัฐบาลที่จำเลยขโมยไป ซึ่งในเรื่องนี้ศาลไม่เชื่อ
โดยจำเลยได้ยืนยันว่า ได้ซื้อสลากเลขที่ 589206, 589207, 589208, 589209 ราคาฉบับละ 90 บาท รวมเป็นเงิน 360 บาท จริง และไม่ได้ขโมย ส่วนพยานโจทก์ที่สืบมาศาลสงสัย และไม่เชื่อว่าเห็นเหตุการณ์จริงตามที่กล่าวอ้าง ศาลจึงยืนตามศาลชั้นต้นยกฟ้อง และยกผลประโยชน์ทั้งหมดให้จำเลย ส่วนเงินรางวัลที่อายัดไว้จะสั่งถอนภายใน 30 วัน
ทันทีที่ศาลสั่งยกฟ้อง นายศิษย์ซึ่งนั่งฟังคำพิพากษาอยู่ในห้องดีใจถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงกับที่พร้อมกับน้ำตาซึม และเมื่อออกจากห้องพิจารณาคดีก็ยังมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ แต่ไม่ยอมให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน จากนั้นได้ออกจากศาลไปทันที
ในขณะที่ นายทรงพล ศักดิ์นาราโรจน์ สามีของนางรสรินทร์ ที่มานั่งฟังคำพิพากษาแทนภรรยา หลังได้รับฟังคำพิพากษาก็เดินออกจากห้องพิจารณาคดีด้วยน้ำตาคลอ และให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อรู้คำพิพากษาแล้วก็ยอมรับและทำใจเอาไว้แล้วว่าผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร ที่มาฟังคำพิพากษาวันนี้ก็เนื่องจากเห็นว่าลอตเตอรี่ถูกขโมยหายไปจึงยื่นฟ้องแค่นั้นเอง และขณะนี้ก็ไม่ได้ขายลอตเตอรี่แล้ว
น.ส.ดรุณีกล่าวว่า รู้สึกดีใจที่คดีจบลงเช่นนี้ แต่ต้องรอดูว่าฝ่ายโจทก์จะยื่นฎีกาอีกหรือไม่ ถ้ายื่นก็จะสู้จนถึงที่สุดและจะฟ้องกลับเช่นกัน แต่หากไม่ยื่นและเรื่องยุติลงเพียงเท่านี้ก็ดี เพราะที่ผ่านมา เหมือนเป็นเวรกรรม ถูกรางวัลที่ 1 แต่กลับต้องมีคดี เอาเงินมาใช้ไม่ได้ ต้องไปกู้ยืมเงินนอกระบบและเอาบ้านเอาที่นาไปจำนองเพื่อหาเงินมาสู้คดี รวมเป็นหนี้ทั้งหมดกว่า 4 แสนบาท นอกจากนี้เรื่องที่เกิดขึ้นยังทำให้พ่อเครียดมาก โดยเฉพาะก่อนตัดสินคดี 8-9 วันดื่มสุราอย่างหนัก เมื่อเรื่องจบลงได้ พ่อก็จะได้ไม่เครียดอีก
ส่วนบรรยากาศที่บ้านของนายศิษย์ ใน อ.มัญจาคีรี ชาวบ้านที่ทราบข่าวทยอยมาแสดงความยินดี แต่ตลอดทั้งวันนายศิษย์ยังไม่ได้เดินทางกลับบ้าน ญาติบอกเพียงว่ายังทำธุระอยู่ในตัวเมืองขอนแก่น โดยชาวบ้านได้เตรียมทำส้มตำและอาหารต่างๆ มาร่วมเลี้ยงฉลองในครั้งนี้



