ไลฟ์สไตล์

ความงมงายของตะวันตก 
ชาติที่บอกว่า..."เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว"

ความงมงายของตะวันตก ชาติที่บอกว่า..."เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว"

04 ส.ค. 2553

ปกติเวลาเรามองชาวตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่พัฒนาในด้านเทคโนโลยี เรามักคิดว่าเขาเหล่านั้นมีแต่เรื่องวิทยาศาสตร์ในหัวสมอง วิถีชีวิตของพวกเขาคงจะเต็มไปด้วยความทันสมัยและไฮเทค

 ที่ไหนได้ ชาติตะวันตกไม่น้อยทีเดียวยังวนเวียนอยู่กับเรื่องโหราศาสตร์ และความเชื่อที่หาเหตุผลไม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการแข่งขันฟุตบอลโลก หมึกพอล ได้ทำนายผลการแข่งขันฟุตบอลโลก ๒๐๑๐ ได้ถูกต้องหลายนัด มีการถ่ายทอดสดไปทั่วทวีปยุโรป และสร้างกระแสให้สวนสัตว์ต่างๆ ทั่วโลก นำเอาสัตว์มาทำนายผลการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศของฟุตบอลโลกครั้งนี้ เช่น หลินปิง แพนด้ายักษ์ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ของไทย เป็นต้น โดยไม่ต้องใช้คำอธิบาย หรือหลักวิทยาศาสตร์ใดๆ

 "ปัจจุบันแม้ว่าอเมริกาจะมีความเจริญทางด้านวัตถุ จึงเป็นสังคมที่พรั่งพร้อมด้วยวัตถุ แต่ก็เกิดปัญหากลับตามมา คือ ปัญหาทางด้านวัฒนธรรม จนเป็นวิกฤติทางวัฒนธรรม (Cultural crisis) ซึ่งกำลังเป็นปัญหามากขึ้นมาโดยลำดับ ในความเจริญที่กำลังรุดหน้านั้น สิ่งที่กำลังตามมาคือ การคลั่งในความเชื่อ ความเชื่อในลัทธิที่สุดโต่ง"

 นี่เป็นความเห็นของพระครูวิเทศพรหมคุณ (พระดร.มหาวินัย) เจ้าอาวาสวัดพรหมคุณาราม (Wat Promkunaram) เมืองฟินิกซ์ รัฐอริโซนา สหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้ชีวิตในฐานะพระธรรมทูตอยู่ในสหรัฐอเมริกากว่า ๑๐ ปี

 พร้อมกันนี้ พระดร.มหาวินัย ยังบอกด้วยว่า ส่วนหนึ่งคือ วัยรุ่นที่ฆ่าตัวตาย หรืออัตวินิบาตกรรม เพราะหาทางออกให้ตนเองไม่ได้ แท้ที่จริงแล้ว สังคมอเมริกันถึงคราววิกฤติอับจนก็จะแสวงหาทางออกด้วยการหาคำตอบ แต่การหาคำตอบถูกผิดขึ้นอยู่กับผู้ที่ชี้แนะ

 เพราะฉะนั้นคงจะกล่าวไม่ได้ว่า บางทีชาวอเมริกันก็มัวเมาในสิ่งที่ตนเชื่ออย่างฝังใจ งมงายกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วในอดีต งมงายกับสิ่งที่คิดและจินตนาการ จนสิ่งที่จินตนาการเป็นรูปธรรมขึ้นมา กลายเป็นสิ่งที่หาความสุขไม่ได้ ค้นหาความสุขไม่พบ และด้วยความงมงายดังกล่าวข้างต้น ก็เป็นผลทำให้บางคนไม่เกิดการพัฒนา

 ทั้งนี้ พระดร.มหาวินัย ได้ให้คติธรรมไว้อย่างน่าคิดว่า "ความเชื่อแบบพอดี เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความสุขให้สังคมนั้นๆ เพราะความเชื่อก่อให้เกิดวัฒนธรรม แต่ความเชื่อที่เกินพอดี หรือที่เรียกว่า ความงมงายนั้น ย่อมนำความทุกข์มาให้คนและสังคมนั้นๆ"

 ด้านนายสรรค์สนธิ บุณโยทยาน ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ และผู้ศึกษาความเชื่อของชนชาติต่างๆ บอกว่า ตัวอย่างหนึ่งของชาวตะวันตก อย่างชาติมหาอำนาจก็งมงายเหมือนกัน ที่เป็นข่าวดังไปทั่วโลกคือ สตรีหมายเลข ๑ ของสหรัฐอเมริกา นางแนนซี เรแกน ภรรยาคู่ใจของท่านประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน  ระหว่างที่ท่านโรนัลด์ เรแกน ปฏิบัติหน้าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอยู่ในทำเนียบขาว นางแนนซี เรแกน ก็วนเวียนอยู่กับเรื่องโหราศาสตร์ โดยมีหมอดูคนดังแห่งเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นสตรีชื่อว่า Joan Quigley ทำหน้าที่โหราจารย์ประจำตัว พักอาศัยอยู่ในบริเวณทำเนียบขาว ตั้งแต่ ค.ศ.๑๙๘๑ ถึง ค.ศ.๑๙๘๘  

 ส่วนเหตุที่นางแนนซีต้องใช้บริการอย่างใกล้ชิดจากหมอดู เพราะเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ค.ศ.๑๙๘๑ ท่านโรนัลด์ เรแกน ถูกมือปืนสติไม่สมประกอบชื่อ John Warnock Hinckley Jr จ่อยิงโดยปืนพกสั้นขนาด .๒๒ ยี่ห้อ Rohm RG-๑๔ ขณะกำลังเดินออกจากโรงแรมฮิลตัน ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี โชคยังดีที่กระสุนถูกหน้าอกท่านประธานาธิบดีเพียงนัดเดียว และแพทย์ก็สามารถผ่าตัดช่วยชีวิตไว้ได้

 ตั้งแต่นั้นมาท่านสตรีหมายเลขหนึ่งต้องหาวิธีปกป้องสามีอย่างเหนียวแน่น ด้วยการดูฤกษ์ยามการเดินทางต่างๆ ให้แคล้วคลาด

 อย่างไรก็ตาม แม้จะถูกสังคมทั่วไปวิพากษวิจารณ์เรื่องการใช้โหราศาสตร์ แต่นางได้เขียนโต้ตอบไว้อย่างน่าฟังว่า “บางท่านอาจจะเข้าใจถึงความรู้สึกจากเหตุการณ์ที่สามีตนเองถูกยิงและเกือบเสียชีวิต และโดยหน้าที่เขาต้องไปปรากฏตัวต่อฝูงชนจำนวนมากนับหมื่นๆ คน ใครจะรู้ว่าหนึ่งในนั้นอาจมีคนบ้าที่พกอาวุธปืน...ดังนั้นในฐานะภรรยา ดิฉันต้องปกป้องเขาเพื่อให้แคล้วคลาด”   

 ทั้งนี้ นายสรรค์สนธิ ยังยกอย่างตัวอย่างกรณีการฆ่าตัวตายหมู่ถึง ๙๐๙ คน ของชาวอเมริกันที่เป็นสาวกของลัทธิ People Temple ที่เป็นข่าวดังสะท้านไปทั่วโลก เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ค.ศ.๑๙๗๘ ที่เมืองโจนส์ทาว ประเทศกียานา ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ติดกับประเทศเวเนซุเอลา และประเทศซูรินาเม ลัทธินี้ตั้งขึ้นใน ค.ศ.๑๙๕๐ นำโดยสาธุคุณ จิม โจนส์ นักเทศน์ชื่อดังแห่งเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่สุดของที่สุดก็มีการฆ่าตัวตายหมู่ โดยทุกคนพร้อมใจดื่มยาพิษไซยาไนด์ผสมน้ำองุ่น ด้วยเหตุผลง่ายๆ จากคำพูดง่ายๆ ว่า “ไม่ต้องกลัวตาย พวกเราต้องตายอย่างมีศักดิ์ศรี เพื่อจะไปสู่โลกหน้าที่ดีกว่า ความตายคือเพื่อนของเรา” ที่บ้านเราก็มีเหตุการณ์ทำนองนี้ เป็นการแขวนคอตายยกครอบครัว โดยบอกว่า “องค์สั่งให้ไปพร้อมๆ กัน” 

ศุกร์ ๑๓ วันแห่งความโชคร้าย
 คนอเมริกัน ถือเป็นคนที่มีเชื้อชาติผสมมากประเทศหนึ่ง ซึ่งมีความเชื่อถือที่เป็นมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ก็คือ ความหลงที่ยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจ ยากที่จะเลือนหายไปจากใจของคนอเมริกันชนเหล่านั้น

 ความงมงายในรูปแบบแห่งตัวตน ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อคุณภาพของชีวิตแต่ละคน หากแต่เป็นกลไกในการรวมตัวเป็นหมู่เหล่า เป็น “สังคมย่อย”

 พระดร.มหาวินัย บอกว่า ในความเชื่อของชาวอเมริกันนั้น ยังเป็นความเชื่ออยู่ถึงปัจจุบัน ก็คือ ๑.Do not walk under Ladder  ๒.Don’t let black cat cross in front of you ๓.Friday ๑๓ th และ ๔.Do not pick up penny on the ground ในความหมายแรกนั้น Do not walk under Ladder บ้านเราก็ยังยึดว่า อย่าไปเดินใต้บันได อย่าให้แมวเดินตัดหน้า หรือถ้าแมวดำวิ่งตัดหน้า ถือว่าจะซวย

 ส่วนวันศุกร์ที่ ๑๓ ของเดือนใดก็ตามแล้ว จะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้น เป็นความเชื่อที่อยู่ในบรรดาชาติที่พูดภาษาอังกฤษทั่วโลก และยังขยายไปถึงชาติอื่นๆ อีกด้วย และในประเทศบางประเทศอย่าง กรีซ สเปน ถือเอาวันอังคารที่ ๑๓ เป็นวันโชคร้ายเช่นกัน

 สำหรับโรคกลัววันศุกร์ที่ ๑๓ มีชื่อเรียกว่า Paraskavedekatriaphobia หรือ paraskevidekatriaphobia หรือ friggatriskaidekaphobia ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรค triskaidekaphobia คือ โรคกลัวหมายเลข ๑๓ ทั้งนี้ ชาวอเมริกันจะไม่เดินทางหรือทำอะไรทั้งสิ้น โดยเฉพาะวันศุกร์ ๑๓ สิงหาคมที่จะถึงนี้ 

 "ความเชื่อแบบพอดี เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความสุขให้สังคมนั้นๆ แต่ความเชื่อที่เกินพอดี หรือที่เรียกว่า ความงมงายนั้น ย่อมนำความทุกข์มาให้คน และสังคมนั้นๆ"

0 เรื่อง ไตรเทพ ไกรงู 0