ปัจจุบัน ยักษ์ใหญ่รายนี้ฐาน 140 แห่งทั่วโลก จากนอกเหนือจากในประเทศจีน ยังได้เข้าไปลงทุนแล้วในอีก 16 ประเทศ โดยไทยเป็นประเทศล่าสุด ครอบลุมเมืองสำคัญระดับโลก ได้แก่ อเมริกา แคนาดา อังกฤษ บราซิล อิตาลี ฟินแลนด์ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อียิปต์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง เป็นต้น
และเมื่อมองกลับไปถึงนโยบายเส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 ซึ่งนำพาให้ทัชสตาร์ เดินทางมาถึงประเทศไทย ด้วยตัวเลขเงินลงทุนที่รัฐบาลจีนเคยประกาศไว้สำหรับนโยบายนี้ซึ่งอยู่ระหว่าง 1-8 พันล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าเป็นจำนวนมหาศาล ดังนั้น หากสตาร์ทอัพไทย มีความสามารถมากพอที่จะเข้าไปเก็บเกี่ยวโอกาสได้แม้ในสัดส่วนเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสตลาดที่ดึงดูดใจอย่างยิ่ง ขณะที่ ประเทศไทย ก็มีอัตราเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างน่าพอใจ โดยจากผลสำรวจที่จัดทำโดยกูเกิล ร่วมกับเทมาเส็ก เมื่อปลายปี 2561 ประเมินมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลไทยอยู่ที่ 1.2หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นมูลค่าตลาดใหญ่อันดับ 2ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 27%ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ทำความรู้จักกับทัชสตาร์
บริษัท ทัชสตาร์ (TusStar) ซึ่งเป็นหน่วยบ่มเพาะธุรกิจขนาดใหญ่ มหาวิทยาลัยชิงหัว มหาวิทยาลัยวงการสตาร์ทอัพอันดับ 1 ของเอเชีย ก่อตั้งขึ้นในปี 2542 และจดทะเบียนในชื่อบริษัท TusPark Business Incubator เมื่อปี 2544 เป็นแถวหน้าของผู้พัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ (Science Park) ที่ได้รับการยอมรับทั้งจากในประเทศ และรุกออกไปสู่อีกหลายประเทศ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ซึ่งมีความคุ้นเคยกับผู้บริหารเบอร์ 1 ของบริษัทแม่ทัชสตาร์ เล่าถึงความโดดเด่นของยักษ์วงการสตาร์ทอัพรายนนี้ว่า “ผมคุ้นเคยกับ Tus Holdings บริษัทแม่ของทัชสตาร์ เคยทำงานร่วมกันตั้งแต่ 4 ปีก่อน ตอนที่ผมอยู่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เคยนำสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ไปร่วมลงนามความร่วมมือกับ Tus Holdings ซึ่งใหญ่มาก เขามีจุดเริ่มต้นจากการเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยชิงหัว ซึ่งเปรียบได้กับเป็นสถาบัน MIT ของประเทศจีน มหาวิทยาลัยชิงหัว ใช้บริษัทแห่งนี้ทำธุรกิจ โดยเอาความรู้ของมหาวิทยาลัยไปใช้ ขยายการลงทุนออกไปหลายประเทศ”
ในยุคเริ่มต้นที่แยกแตกออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นบริษัทเอกชนเต็มตัว ได้มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ชั้นนำหลายแห่งให้กับประเทศจีน ประสบความสำเร็จจนออกไปทำด้านนี้ให้กับอีกหลายประเทศ จนมีกระแสเรื่องสตาร์ทอัพ จึงได้จัดตั้งบริษัท ทัชสตาร์ (TusStar) ขึ้นมาจับด้านนี้โดยตรง เริ่มต้นจากการสรรหา “ดาวเด่น” จากภายในมหาวิทยาลัยชิงหัว ซึ่งเป็นแหล่งรวมนักศึกษาระดับหัวกะทิของประเทศ เพื่อมาปั้นเป็น “สตาร์ทอัพ” ขยายผลสู่ครอบคลุมทั่วประเทศจีน และเข้าไปทำให้กับต่างประเทศด้วย
ข้อมูลจากเว็บไซต์ของทัชสตาร์ ระบุว่า แนวคิดหลักในการสนับสนุนสตาร์ทอัพ ก็คือ ให้ทั้งความรู้/เครื่องมือสำหรับบ่มเพาะผู้ประกอบการ ควบคู่ไปกับการอุดหนุนเงินลงทุน ตลอดจนสร้างระบบนิเวศน์ (Eco System) ที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดธุรกิจนวัตกรรม เป็นสะพานเชื่อมโยงสตาร์ทอัพให้สามารถเข้าถึงรัฐบาล ยักษ์ใหญ่ภาคอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยต่างๆ สถาบันวิจัย ภาคการเงิน การค้าและสื่อมวลชน เป็นต้น ด้วยรูปแบบนี้ส่งผลให้ได้รับรางวัลจากหลายสถาบันใหญ่ ปัจจุบันมีจำนวนผู้ประกอบการที่ได้รับการบ่มเพาะไปแล้วมากกว่า 5,000 บริษัท เกิดบริษัทที่โดดเด่นนับร้อยราย และสามารถปั้นสตาร์ทอัพจนเข้าไปเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้แล้ว 35 บริษัท
โอกาสตลาดใหม่สตาร์ทอัพไทย-จีน
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างบริษัท ทัชสตาร์ และดีป้า ผ่านการลงนาม MOU จัดตั้ง “The Development of China-Thailand Digital Incubator” ขึ้นในประเทศไทย นับเป็นความก้าวหน้าของความสัมพันธ์ต่อเนื่องมาร่วม 4 ปี ระหว่างไทยกับบริษัท ทัช โฮลดิ้งส์ (Tus-Holdings) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของทัชสตาร์ โดยที่ผ่านมา ประเทศจีนประสบความสำเร็จอย่างสูงในการพัฒนาผู้ประกอบการกลุ่มสตาร์ทอัพ ขณะที่ ประเทศไทย ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สตาร์ทอัพ กลายเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ
ความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะและพัฒนาสตาร์ทอัพขึ้นในประเทศไทย จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับผู้ประกอบการที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างเข้มข้นของไทยและจีน จะได้ทำงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งการที่ประเทศจีนเป็นตลาดที่ใหญ่มากและเทคโนโลยีพัฒนาไปไกล ดังนั้นการผสมผสานกัน ก็จะทำให้โอกาสของสตาร์ทอัพไทยกว้างมากขึ้น นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมยังทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนกัน ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
ดร.จาง จินเซิง ประธานบริษัท ทัชสตาร์ ซึ่งเป็น Incubator ด้านดิจิทัลรายใหญ่สุดของประเทศจีน กล่าวว่า ศูนย์บ่มเพาะฯ แห่งนี้พร้อมเปิดดำเนินการราวเดือนมีนาคม หรือเมษายนปีนี้ โดยจะมีการส่งทีมของทัชสตาร์ส่วนหนึ่งเข้ามาประจำที่ประเทศไทย เพื่อให้บริการและการสนับสนุนผู้ประกอบการจากประเทศจีน ที่ต้องการขยายธุรกิจเข้ามาในประเทศไทย ตลอดจนผู้ประกอบการไทยที่อยากเข้าไปก่อตั้งธุรกิจในประเทศจีน โดยความร่วมมือกับดีอี และดีป้า ครั้งนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมสาขาที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัล
ผู้บริหารทัชสตาร์ กล่าวว่า เหตุผลที่สนใจเข้ามาตั้งฐานพัฒนาสตาร์ทอัพในประเทศไทย เพราะอยากช่วยเหลือสตาร์ทอัพของจีน ที่อยากเข้ามาศึกษาโอกาสในตลาดประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายเส้นทางการค้าใหม่ (One Belt One Road Initiative) ของประเทศจีน อีกทั้งจะเป็นฐานสำคัญที่จัดตั้งขึ้นในอาเซียนสำหรับพัฒนาสตาร์ทอัพด้านเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อสนับสนุนโครงการในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)
สำหรับการศูนย์ฯ แห่งนี้ เป็นการลงทุนจัดตั้งฐานแห่งที่ 2 ของทัชสตาร์ ในภูมิภาคอาเซียน ต่อจากมาเลเซีย และในครั้งนี้ได้นำคณะเดินทางราว 50 คน ที่เป็นผู้ประกอบการและสถาบันการเงินของจีน ในสาขาเทคโนโลยี ได้แก่ AI, Smart Devices, IoT และ New Energy เข้ามาศึกษาตลาดและระบบนิเวศน์ในประเทศไทย ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากสตาร์ทอัพของจีน เพราะมีความคาดหวังต่อตลาดในประเทศไทยอยู่แล้ว