ลองเครื่องใหม่ เกียร์ 10 สปีดฟอร์ด เอเวอเรสต์ : คอลัมน์... ยานยนต์
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ปรับเปลี่ยนรุ่นปี 2018 ในหลายส่วนๆ ที่สำคัญคือเครื่องยนต์กับเกียร์ โดยหันมาใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อย คือ เทอร์โบเดี่ยว ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที และเทอร์โบคู่ 213 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบ/นาที
เครื่งยนต์ 2.0 ลิตร มาแทนที่เครื่องเดิมคือ 3.2 ลิตร เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ ที่ให้กำลัง 200 แรงม้า ที่ 3,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที และ 2.2 ลิตรเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่่ 3,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 385 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,500 รอบ/นาที
ส่วนเกียร์ก็เปลี่ยนจากเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด มาเป็นเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด
ทั้ง 2 สิ่งจะเป็นจุดขายสำคัญควบคู่กับระบบต่างๆ ที่ใส่เข้ามา เช่นระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน ซึ่งจะหยุดรถ และช่วยลดอัตราการชนท้ายและการชนคนเดินถนน ระบบนี้ทำงานเมื่อใช้ความเร็วสูงกว่า 3.6 กม./ชม. ซึ่งครั้งนี้ไม่ได้ลอง แต่ว่าเมื่อไม่นานมานี้ได้ลองกับปิกอัพ เรนเจอร์ ซึ่่งก็ทำงานเหมือนกันครับ
ระบบตรวจจับลมยาง พร้อมเตือนผู้ใช้งานเมื่อความดันลมเปลี่ยนแปลงระบบประตูท้ายเปิดปิด ด้วยไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี ขอเพียงแค่มีกุญแจอยู่กับตัวก็ใช้แค่เท้ายื่นเข้าไปไปใต้กันชงหลัง ฝาท้ายก็จะปิดขึ้นมา เพิ่มความสะดวกในการเปิดเปิด โดยเฉพาะผู้ที่เรี่ยวแรงน้อย และเมื่อจะปิดก็ทำได้ 2 แบบ คือ แหย่เท้าเหมือนเดิม หรือจะกดปุ่มควบคุมก็ได้
เอเวอเรสต์ ยังออกแบบให้การพับเบาะนั่งแถวที่ 3 และการยกขึ้น เป็นการควบคุมด้วยไฟฟ้าเช่นกัน เพิ่มความสะดวกไม่ต้องเอื้อมมือไปกดหรือไปดึงอะไรทั้งสิ้น และออกแบบให้พับได้แบนราบ เช่นเดียวกับเบาะแถว 2 ที่แบนราบเช่นกัน ทำให้การบรรทุกสัมภาะสะดวกยิ่งขึ้น
ฟอร์ดบอกว่ายังมีระบบซิงค์ 3 (SYNC 3) รองรับ Apple CarPlay และ แอนดรอยด์ โอโต้ พร้อมระบบบลูทูธ จอทัชสกรีน ฟูลคัลเลอร์ ขนาด 8.0 นิ้ว กล้องมองหลังระบบแผนที่นำทางด้วยดาวเทียม ทำให้สามารถหาทิศทางได้ แม้จะออกนอกพื้นที่ที่มีสัญญาณโทรศัพท์
ระบบซิงค์ 3 มีระบบจดจำเสียง และระบบสั่งงานเสียงด้วยภาษาไทยระบบช่วยโทรฉุกเฉิน หากเกิดอุบัติเหตุ หรือต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉิน
ระบบอะแดปทีฟ ครูส คอนโทรล รักษาระยะห่างจากคันหน้าระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางระบบเตือนการชนด้านหน้าระบบแจ้งเตือนการขับขี่ระบบเปิดปิดไฟสูงอัจฉริยะ ระบบช่วยจอด ระบบตรวจจับรถในจุดบอด ระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด จากกล้องมองหลังขณะถอยจอดและสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า และในตัวท็อปก็มีพาโนรามิค ซันรูฟ เป็นต้น
ฟอร์ดจัดให้ทดลองกันยาวๆ จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าเพชรบูรณ์ ขึ้นเขาค้อ ทุ่งแสลงหลวงก่อนจะกลับมาจบที่จุดเดิม ก็เรียกว่ามีเส้นทางที่หลากหลายทั้งทางด่วน ไฮเวอร์ ทางเล็กในชนบท เส้นทางขึ้นลงเขา และเส้นทางออฟโรด
วันแรกของการเดินทางผมได้ ไบ เทอร์โบ รุ่นไทเทเนียม ซึ่งมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และโหมดขับเคลื่อนออฟโรดหลายๆ อย่างให้เลือกใช้งานได้ง่ายๆ ด้วยการหมุนปุ่มควบคุม
แต่ว่าเส้นทางที่ขับวันแรกไปถึงที่พักเข้าค้อ แวะพักบางจุดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง เช่น วัดผาซ่อนแก้ว หรือร้านกาแฟ ทั้งหมดก็ใช้แค่ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อเท่านั้น ก็เดินทางได้สบายๆ โดยเฉพาะกำลังเครื่องยนต์ที่ตอบสนองได้ดี เหมาะกับการใช้งานในทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความเร็วบนไฮเวย์ การเร่งแซงในทางเล็กๆ สวนทาง หรือการใช้แรงบิดในการปีนไต่ทางชัน ซึ่งเป็นจุดเด่นของเครื่องตัวนี้ และแน่นอนมันทำให้เกิดความคล่องตัวในเส้นทางที่ต้องเปลี่ยนความเร็วบ่อยๆ เช่น การเร่งแซง หรือการเรียกแรงเพื่อออกจากโค้ง และบางโค้งก็เป็นโค้งขึ้นเนิน ทำให้เจ้ารถใหญ่คันนี้ให้อารมณ์สปอร์ตชัดเจน มีความคล่องตัวสูง และเหมาะทีเดียวที่จะใช้เดินทางไกล เดินทางท่องเที่ยว
ช่วงล่างก็ทำมาน่าพอใจเช่นกัน การใช้ความเร็วสูงในเส้นทางทั่วไป รถมีความนิ่ง ขับสบายไม่เครียด บวกกับการเก็บเสียงในห้องโดยสารที่ทำได้ดี น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ขับหรือว่าครอบครัวพอใจ ขณะที่เส้นทางโค้งคดไปมา การยึดเกาะก็ทำได้ดีเช่นกัน แม้โค้งแคบๆ บางโค้งจะมีเสียงยางที่ลั่นออกมาบ้าง เนื่องจากแรงหนีศูนย์จากรถที่มีนำ้หนักมากค่อนข้างสูง แต่ทุกอย่างก็อยู่ในการควบคุมอย่างไว้ใจได้ พวงมาลัยน้ำหนักดี การเบรกรถค่อนข้างนิ่งไม่ไถล และอาการหน้าทิ่มหลังยกมีน้อย
อย่างไรก็ตามในช่วงถนนที่ไม่เรียบกริบแต่ไม่ได้ขรุขระ ซึ่งหาได้ทั่วไปในถนนบ้านเรา เช่น เป็นคลื่นเป็นลอนเป็นร่อง มีการเด้งของตัวรถในตำแหน่งผู้โดยสารแถว 2 แถว 3 รู้สึกได้ครับ
การทำงานของเกียร์ลื่นไหลดี การเปลี่ยนเกียร์ราบรื่น ไม่มีจังหวะหน่วง สะดุด หรือกระชากให้รู้สึก และเมื่อต้องการเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเอง ก็ลื่นไหลเช่นกัน แต่ที่ไม่ชอบคือปุ่มเปลี่ยนเกียร์ซึ่งฝังอยู่ที่หัวเกียร์ มันใช้งานไม่ถนัด และดูฝืนธรรมชาติไปสักหน่อย
วันรุ่งขึ้นขับไปทุ่งแสลงหลวง ปลายทางคือทุ่งนางพญาเมืองเลนที่ซึ่งเต็มไปด้วยป่าสนสองใบขนาดใหญ่ เป็นเส้นทางออฟโรด ทางดินที่มีเต็มไปด้วยร่องลึกจากการกัดเซาะของน้ำ มีทางที่ดินถูกบดอัดจนแน่นลื่น และมีเนินให้ไต่อยู่บ้าง ซึ่งใครที่จะไปเส้นทางนี้ควรจะหารถที่มีความสูงใต้ท้องรถจึงจะสะดวก
เส้นทางเหล่านี้ผู้ขับก็เล่นกันไป ขับ 2 บ้าง ขับ 4 บ้าง ใช้โหมดขับขี่แบบต่างๆ บ้าง แต่สำหรับผมไม่ต้องยุ่งยากอะไร สตาร์ทแล้วก็ไปกันเลย เพราะวันนี้ได้ขับรุ่นเทอร์โบเดี่ยว และขับเคลื่อน 2 ล้อ แต่ไม่มีปัญหาอะไร แม้แต่ช่วงปีนไต่ หรือลงเนินชัน ก็แค่ใช้เกียร์ให้ถูกต้อง ขึ้นก็ต้องอยู่ที่ D ตลอด ความฉลาดของเกียร์มันจัดการให้ได้หมด การเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วช่วยให้เดินทางได้ไม่สะดุด แต่เมื่อลงเนินก็หันมาใช้เกียร์ต่ำด้วยการเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเองเท่านั้นเอง ดังนั้นยืนยันได้ว่าทางออฟโรดแห้งๆ ชันๆ ขับเคลื่อน 2 ล้อ เทอร์โบเดี่ยวไปได้สบายๆ
และเมื่อลงมาขับขี่ในถนนลาดยาง ทั้งบนเขา และพื้นราบเข้า กทม. จุดที่รู้สึกถึงความต่างที่ชัดเจนกับเทอร์โบคู่คือช่วงการเร่งขึ้นเนิน ซึ่งเทอร์โบเดี่ยวก็ทำได้สบายๆ แต่เทอร์โบคู่กระฉับกระเฉงกว่า และไปได้นิ่งๆ ไม่ต้องเค้นเครื่องยนต์มากนัก ส่วนพื้นราบก็จะเห็นความต่างที่อารมณ์ช่วงความเร็วปลายเท่านั้น แต่เทอร์โบเดี่ยวก็ขับ 160-170 ได้สบาย อันนี้ลองดูเฉยๆ นะครับ
ก็อยู่ที่ว่าใครจะชอบแบบไหน เอาแบบมาเต็มทั้งกำลังและออปชั่น ก็คงต้องเลือกเทอร์โบคู่ แต่ถ้าไม่ได้จำเป็นจะต้องใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือว่าเครื่องที่แรงมากมาย ผมว่าเลือกตัวเทอร์โบเดี่ยวก็เพียงพอต่อการใช้งาน และได้ของแถมคือเงินที่ยังเหลืออยู่ในกระเป๋าอีกไม่น้อยครับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง