มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ "พีเอชอีวี"อุ่นเครื่องปลั๊กอิน ไฮบริด : คอลัมน์... ยานยนต์ โดย... สินธุ์ชัย ภมรพล
มิตซูบิชิ พูดชัดเจนว่าจะยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนโครงการ รถพลังงานไฟฟ้า (EV) และรถปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) ที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนดให้ยื่นโครงการภายในวันที่ 31 ธันวาคมปีนี้แน่นอน และคาดว่าจะสามารถเริ่มต้นการผลิตได้ในช่วง 2-3 ปี จากนี้
มิตซูบิชินั้นเป็นค่ายรถญี่ปุ่นที่มีเทคโนโลยีทั้งอีวีและพีเอชอีวีมานานแล้ว โดยอีวี เริ่มผลิตเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในปี 2552 ส่วนพีเอชอีวี ตามมาในปี 2556 ด้วยรุ่นเอาท์แลนเดอร์ และจากนั้นในปี 2558 ก็มี เอาท์แลนเดอร์ใหม่ ออกสู่ตลาดส่วนโฉมปัจจุบันเป็นการไมเนอร์เชนจ์ เป็นรุ่นปี 19
ผมจะพาไปพบกับเอาท์แลนเดอร์ในงาน “EV Inspection Tour inEurope for ASEAN Media” ซึ่งจัดที่โพรวองซ์ ฝรั่่งเศส เป็นงานที่มีทั้งการสัมมนาย่อยๆ และการทดสอบการขับขี่ ซึ่งแม้ว่ามิตซูบิชิจะพูดชัดเจนว่าไม่มีแผนที่จะทำตลาดเอาท์แลนเดอร์พีเอชอีวีในไทยก็ตาม แต่ว่าเทคโนโลยีนี้ก็จะนำไปใส่ในรถรุ่นอื่นๆ ที่เหมาะสม ดังนั้นการลองขับครั้งนี้ก็ทำให้ได้รู้ว่าเทคโนโลยีที่จะเข้ามาในอนาคตเป็นอย่างไร
การขับขี่ระยะทางไม่มากนักประมาณ 45 กม. แต่ก็พอจะจับอารมณ์ จับความรู้สึกได้บ้าง
เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2,360 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 135 แรงม้าที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 211 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบ/นาที และมีมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 2 ตัว ด้านหน้า 82 แรงม้า 195 นิวตันเมตร มอเตอร์ตัวหลัง 95 แรงม้า 195 นิวตันเมตร ส่วนแบตเตอรีเป็นแบบลิเธียมไอออน 13.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง
จุดเด่นของมันนอกเหนือจากการเลือกใช้โหมดอีวีอย่างเดียว โหมดชาร์จแบตเตอรี่ และโหมดเก็บแบตเตอรี (save) เพื่อเก็บเอาไว้ใช้ในจุดที่ต้องการเช่น แหล่งชุมชน หรือพื้นที่รถติด เป็นต้น โดยระบบจะสั่งการให้เครื่องยนต์ทำงานเป็นหลัก ไม่แตะต้องพลังงานจากแบตเตอรี่ เมื่อเริ่มกดปุ่มอยู่เท่าไรก็เท่านั้น เช่น แบตเตอรี่เหลือ 88% มันก็จะค้างอยู่ 88% เช่นเดิม
ระบบไฮบริดเลือกโหมดการทำงานอัตโนมัติตามแต่สภาพการขับขี่ และเส้นทางไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ทำงานอย่างเดียว แบตเตอรี่ทำงานอย่างเดียว หรือทำงานพร้อมกัน ทั้งมอเตอร์และเครื่องยนต์ช่วยกันขับเคลื่อนล้อ หรือ พาราเรล ไฮบริด และเครื่องยนต์ทำงานแต่ไม่ส่งกำลังไปที่ล้อ ส่งไปที่แบตเตอรี่เท่านั้นเพื่อเติมกำลังให้มอเตอร์เป็นตัวขับเคลื่อนล้อเท่านั้น เรียกว่าเป็น ซีรีส์ ไฮบริด
ซีรีส์ ไฮบริด จะทำงานเช่นช่วงการปีนไต่ ซึ่งอาศัยจุดเด่นของมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีแรงบิดที่ดี และเครื่องยนต์ที่ไม่ต้องขับเคลื่อนล้อ แต่ทำหน้าที่เป็นตัวปั่นไฟ ก็ไม่ต้องทำงานหนัก ช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น ส่วนพาราเรล ไฮบริด ก็จะใช้ในการขับขี่ทั่วไป การขับขี่ที่ความเร็วสูง เป็นต้น
เอาท์แลนเดอร์ มีเกียร์ B เสริมเข้ามาจาก R D และ N เหมือนดังที่รถอีวี หรือไฮบริดมี แต่สามารถเลือกได้ 5 ระดัับ หรือ B1-B5 ด้วยแพดเดิลชิฟท์ ที่พวงมาลัย ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่มากขึ้น เช่น เมื่อลงเนินชัน ก็ไล่ไป ชันน้อยก็ B1 ชันมากก็ B5 ซึ่งจะเพิ่มแรงหน่วงด้วยมอเตอร์ คล้ายกับเอนจิน เบรก ในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ทั่วไป พร้อมกับชาร์จไฟไปในตัว ซึ่ง B5 จะชาร์จได้เร็วที่สุด
แต่หากเป็นการขับขี่ทั่วไปจะใช้เกียร์ B ก็ได้เช่นกัน ทำให้ชาร์จไฟได้เร็วขึ้นกว่า D โดยที่การขับทั่วไป B กับ D ไม่ต่างกัน แต่เมื่อยกเท้าออกจากคันเร่ง แรงหน่วง B จะมากกว่าและชาร์จไฟได้มากกว่าเช่นกัน
ส่วนโหมดขับขี่ก็มีให้เลือกแบบสปอร์ต เพิ่มความดุดัน และการล็อกโหมด 4WD
มีลูกเล่นในการขับขี่เยอะ เสียดายที่ว่ามีเวลาขับน้อยเกินไป แต่เรื่องอื่นๆ เช่น อัตราเร่ง การทรงตัว การยึดเกาะถนนในทางตรง ทางโค้ง ทำได้ดี ขับสนุกได้ในระดับหนึ่ง เน้นความสบายในการนั่ง การขับ และการโดยสาร ด้วยที่ช่วงล่างที่นุ่มๆ นั่งสบายดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี โดยช่วงล่างหน้า เป็นแบบแมคเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลังมัลติลิงค์ ดิสก์เบรก 4 ล้อ ล้อและยางขนาด 225/55 R19
สำหรับแบตเตอรี่ของเอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี หากชาร์จแบบธรรมดา ด้วยไฟเอซี 230 โวลต์ 16 แอมป์ จะใช้เวลา 4 ชม. แต่ถ้าชาร์จแบบเร็ว หรือควิกชาร์จ ด้วยไฟดีซี ได้ 80% ใช้เวลา 25 นาที
การขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้าอย่างเดียวเคร่ื่องยนต์ไม่เกี่ยวได้ระยะทางสูงสุด 45 กม. ขึ้นอยู่กับความเร็ว สภาพเส้นทาง และสภาพจราจร และไฟฟ้าอย่างเดียวทำความเร็วสูงสุดได้ 135 กม./ชม. ซึ่งถือว่าสูงมากทีเดียว ส่วนความเร็วสูงสุดของระบบไฮบริดอยู่ที่ 170 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 10.5 วินาที ซึ่งก็อาจจะดูไม่เร็วนัก แต่หากเทียบกับการเป็นเอสยูวีขนาดค่อนข้างใหญ่ น้ำหนักพอตัว ก็ถือว่าน่าพอใจ และในการขี่จริง ก็ไม่ค่อยมีใครใช้อัตราเร่งช่วงนี้มากนัก แต่จะใช้การเร่งแซงเป็นหลัก ซึ่งก็อยู่ในเวลาที่ดี เช่น จาก 40 กม./ชม.ไป 60 กม./ชม.ใช้เวลา 2.5 วินาที หรือจาก 80ไป 100 ก็ใช้เวลา 3.7 วินาที
ส่วนอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 46 กรัม/กม.
เอาท์แลนเดอร์ มีขนาดตัวถังยาว 4,695 มม. กว้าง 1,800 มม.สูง 1,710 มม. หากจะเทียบกับรถเอสยูวีในบ้านเรา ก็ยาวกว่ามาสด้าซีเอ็กซ์-5 อยู่ 145 มม. แต่แคบกว่า 40 มม. และหากเทียบกับพีพีวีค่ายเดียวกันอย่างปาเจโร สปอร์ต เอาท์แลนเดอร์สั้นกว่า 90 มม. แคบกว่า 15 มม. ถือว่ามีขนาดที่กำลังน่าใช้งาน ได้ทั้งใช้ส่วนตัว หรือว่าใช้สำหรับครอบครัว ใช้เดินทางในชีวิตประจำวันหรือท่องเที่ยว และไลฟ์สไตล์ ส่วนน้ำหนักรถอยู่ระหว่าง 1,880-1,900 กก. สามารถฉุดลากได้ 1,500 กก.
ความกว้างขวางของห้องโดยสารทำให้นั่งได้สบายทั้ง 5 ตำแหน่ง โปร่งโล่ง ผู้โดยสารตอนหลังมีพื้นที่วางเท้าเหลือเพียบ ต้องใช้คำนี้ แม้ว่าคนนั่งด้านหน้าจะถอยหลังมาพอควรก็ตาม ส่วนตำแหน่งผู้ขับขี่ ทัศนวิสัยรอบคันดี รวมถึงด้านหลังที่กระจกค่อนข้างใหญ่
ส่วนภายในรถมีลูกเล่นหลายอย่าง รวมถึงระบบกล้อง 360 องศา จอแสดงข้อมูลทั้งมอนิเตอร์ตรงกลางและบริเวณมาตรวัดหลังพวงมาลัย แจ้งสถานะการทำงานของระบบ แจ้งระดับแบตเตอรี่ เป็นต้น
โดยรวมถือเป็นเอสยูวีของครอบครัวที่เดินทางสบายๆ ประหยัด จากหากสเปกโรงงานที่ระบุว่า อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 50 กม./ลิตร แต่ถ้าใช้งานจริงแล้วได้ไม่ถึง แต่ใกล้เคียง ก็ถือว่าโอเคแล้วครับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง