"BMW M4" ดุดัน ปราดเปรียว เชื่องมือ : คอลัมน์... ยานยนต์ โดย...สินธุ์ชัย ภมรพล
บีเอ็มดับเบิลยู เอ็ม 4 คูเป้ มีพื้นฐานมาจากซีรีส์ 4 คูเป้ แต่ปรับเปลี่ยนรายละเอียดหลายๆ ส่วนให้แตกต่างออกไป และแน่นอน เน้นที่การมีมุมมองที่ให้อารมณ์สปอร์ตมากขึ้น อย่างเช่นด้านหน้าก็จะเห็นความแตกต่างในส่วนของช่องดักลมที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เห็นได้ชัดเจน และมีรูปทรงเหลี่ยมแต่ลบมุมออกไปบ้างไม่ให้แข็งจนเกินไป
ฝากระโปรงหน้าเหมือนกับ 4 คูเป้ มีรูปทรงโค้ง ดันนูนตรงกลาง เส้นคมกริบ แต่เอ็ม 4 นั้นบริเวณพื้นที่ตรงกลางใกล้กับกระจกบังลมหน้า ยกสูงขึ้นเล็กน้อยเว้นพื้นที่ให้อินเตอร์คูลเลอร์ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใน
หลังคาทำจากคาร์บอนไฟเบอร์แบบเปลือย ไม่พ่น เป็นการโชว์วัสดุ และเพิ่มอารมณ์สปอร์ต ส่วนการเลือกใช้คาร์บอนไฟเบอร์ ยังมีเป้าหมายอีกสิ่งคือการลดน้ำหนักลงไปได้หลายกิโลกรัมเลยทีเดียว
นอกจากทำให้รถมีน้ำหนักโดยรวมลดลงแล้วยังช่วยให้รถมีศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับรถที่มีความแรงเช่นนี้
ด้านท้ายมาพร้อมกับท่อไอเสีย 2 คู่ รวม 4 ท่อ แต่ผมแอบสงสัยว่าหากออกแบบไม่ต้องกลมดิก แต่มีส่วนเหลี่ยมสันอยู่บ้างเพื่อให้ล้อไปช่องดักลมด้านหน้าจะเป็นอย่างไร
เอ็ม 4 คูเป้ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ ขนาด 2,979 ซีซี เทคโนโลยี เอ็ม ทวินเพาเวอร์ เทอร์โบ และที่ฝาถังน้ำมันขนาด 52 ลิตร มีคำแนะนำว่าควรใช้น้ำมัน เชลล์ วี เพาเวอร์
เครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุด 431 แรงม้าที่ 5,500-7,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตรที่ 1,850-5,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด เอ็ม ระบบคลัทช์คู่ พร้อมไดรฟ์ โลจิก ไปยังยางขนาด 255/35 R 19 ที่ด้านหน้า และ 275/35 R19 ที่ด้านหลัง
ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. แน่นอนมันเป็นความเร็วที่ถูกจำกัดไว้โดยผู้ผลิต และมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.1 วินาที
โหมดขับขี่มีให้เลือกทั้งแบบคอมฟอร์ท สปอร์ต และสปอร์ต พลัส ซึ่งจะใช้โหมดไหนก็สนุกได้หมด และหากขับขี่ทั่วไปคอมฟอร์ทก็เพียงพอ สนุกได้แล้ว และการใช้เกียร์คาไว้ D อย่างเดียวก็สนุกได้เช่นกัน แม้จะมีระบบเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเอง แต่ผมว่าไม่จำเป็น การใช้คันเร่งเป็นตัวควบคุม โดยที่สมองกลรับคำสั่งเพื่อเปลี่ยนเกียร์ ทำได้แม่นยำ ลื่นไหล จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ต่อเนื่อง
ผมขับเอ็ม 4 คูเป้ ทั้งในเมืองอย่างกรุงเทพฯ ไปกลับที่ทำงาน ขึ้นทางด่วน เข้าซอย ทำได้ปกติ แม้ความสูงใต้ท้องรถจะไม่มากนัก แต่ก็ไม่มีผลอะไรขึ้นที่จอดรถออฟฟิศ หรือเข้าห้างได้สบายๆ และใช้อัตราเร่งที่โดดเด่น ซอกแซกไปตามพื้นที่ว่างบนถนนได้อย่างรวดเร็วทันใจ
จะดูแตกต่างบ้างก็เมื่อเข้าซอยบ้าน แล้วมีคนหันมามองนั่นแหละครับ เพราะเสียงคำรามที่ปลายท่อที่ดุดัน และตั้งใจให้ดังมากกว่าปกติ มันชวนให้ใครๆ ต้องหันมาดู แต่ไม่ใช่เพราะรำคาญนะครับ
มีเอ็ม 4 อยู่ในมืออย่างน้อยก็ต้องหาพื้นที่ให้มันได้ปลดปล่อยบ้าง ผมเลือกเดินทางไปต่างจังหวัดไม่ไกลนัก คือ สุพรรณบุรี ซึ่งแน่นอนว่าถนนเส้นนี้ก็เหมือนกับเส้นอื่นๆ คือมีรถทุกเลน ไม่ว่าช้าหรือเร็ว เหมือนต้องการให้ลองอัตราเร่ง เบรก และเลนเชนจ์ไปในตัว
ซึ่งทั้งหมดนี้เอ็ม 4 ทำได้ดี อัตราเร่งเหลือเฟือ กดคันเร่งไม่มากนัก อาการหลังติดเบาะเกิดขึ้นชัดเจน การทรงตัวเมื่อเปลี่ยนช่องทางทำได้ดี รถรักษาระดับขนานไปกับพื้นถนน ไม่มียกมีโยนตัว ขณะที่พวงมาลัยแม่นยำ ช่วยให้ไม่เหนื่อยในการขับแบบนี้ และน้ำหนักดีทีเดียว ไม่เบา แต่ก็ไม่หนักเกินไป
เส้นทางจากลาดบัวหลวงเข้า อ.สองพี่น้อง เป็นทางใหญ่ และมีช่วงโล่งมากกว่า และมองเห็นด้านข้างถนนได้ไกลกว่าในบางช่วง ดังนั้นผมขออนุญาตลองกำลังเครื่องยนต์ช่วงสั้นๆ ด้วยการค่อยๆ กดคันเร่งลงไปนิ่มๆ แต่กดเรื่อยๆ ไม่รู้เข็มไมล์เร่งรีบไปไหน เพราะครู่เดียวมันกวาดขึ้นไปที่ 230 ก่อนที่ผมจะผ่อนคันเร่ง เพราะเห็นว่าด้านหน้ามีรถเปะปะอยู่หลายเลน แม้คำนวณด้วยตาแล้วยังห่างอยู่หลายร้อยเมตรก็ตาม
มีช่วงยูเทิร์น เมื่อเห็นมีจังหวะพอควร ผมกดคันเร่งเพื่อพารถออกจากพื้นที่อันตรายโดยเร็วที่สุด แรงที่ส่งไปล้อหลังมากเกินไปทำให้มีอาการโอเวอร์สเตียร์ แต่ก็อย่าไปตกใจอะไรกับมันครับ แค่ผ่อนคันเร่งเล็กน้อย ดึงพวงมากลับอีกนิด แค่นี้ก็ผ่านไปได้สบายๆ
ก็ต้องบอกว่าเป็นรถที่ขับสนุกครับ เครื่องยนต์ตอบสนองดี ช่วงล่างดี แต่อย่างไรก็ตาม ผมว่าถนนบ้านเรา แม้แต่เส้นนี้ที่มองด้วยตาก็ดูว่าเรียบดี แต่เอาเข้าจริงมันไม่ได้เรียบกริบ มีแอ่งมีเนินเล็กๆ ซึ่งไม่เหมาะในการใช้ความเร็วสูง
แต่ไม่ได้หมายว่าไม่เหมาะกับรถประเภทนี้นะครับ มันขับได้แน่ และสนุกด้วย ถ้ารู้จักถนนและรู้จักรถว่าควรเอาข้อดีอะไรของมันออกมาใช้ในสภาพการณ์ที่แตกต่างกันออกไป
แม้ว่าเมื่ออยู่นอกรถจะได้ยินเสียงดุๆ ของท่อไอเสีย แต่เมื่อเข้ามานั่งภายในรถแล้วพบว่าการเก็บเสียงทำได้ดี ได้ยินเสียงท่อบ้างเมื่อกดคันเร่ง ขณะที่เสียงอื่นๆ ทั้งเสียงท่อเสียงลมมีน้อย แม้จะใช้ความเร็วสูงก็ตาม ทำให้มีสมาธิในการขับขี่ที่ดี
การออกแบบภายในห้องโดยสาร แม้จะเป็นเอ็ม แต่โดยรวมก็ยังมีอารมณ์ร่วมกับรถรุ่นปกติอื่น จะแตกต่างก็ตรงรายละเอียดบางอย่าง เช่น สัญลักษณ์เอ็ม รวมถึงที่เบาะนั่งซึ่งเรืองแสงเป็นลูกเล่นให้ตื่นตายามค่ำคืน
เบาะนั่งได้ทั้งนั่งสบายและโอบกระชับลำตัว ช่วยให้ควบคุมได้ดีขึ้น มาพร้อมกับลายฉลุสายเข็มขัดนิรภัยตกแต่งลวดลายเอกลักษณ์สไตล์ เอ็ม
ส่วนเบาะนั่งด้านหลังไม่ใหญ่นัก แต่ออกแบบให้นั่งได้สบาย การที่กระชับลำตัวช่วยได้ในเรื่องนี้ การเข้าออกก็ต้องอาศัยการมุดเล็กน้อย เพราะเป็นรถ 2 ประตู
แต่คนที่ชอบนั่งรถนุ่มๆ อาจจะไม่ชอบนัก เพราะช่วงล่างที่หนักไปทางอารมณ์สปอร์ต ให้ความรู้สึกกระด้างมากกว่าแม้จะเป็นถนนเรียบๆ ก็ตาม
จอมอนิเตอร์แบบลอยตัว เห็นได้ชัดเจน ระบบ แสดงผลบนกระจกบังลมหน้า หรือ HUD มีประโยชน์มากในการขับขี่แบบเร็วๆ เพราะไม่ต้องละสายตาจากเส้นทาง
เอ็ม 4 มีขนาดความยาวตัวถัง 4,671 มม. ความกว้าง 1,870 มม. และสูง 1,383 มม. พื้นที่บรรทุกของใต้ฝากระโปรงท้าย 445 ลิตร ถือว่าไม่น้อย แม้จะดูเล็กๆ จากภายนอก แต่การออกแบบให้ลึกเข้าไป ช่วยให้มีพื้นที่กว้างพอควร และการเปิดปิดฝาท้ายควบคุมด้วยไฟฟ้า แค่แหย่เท้าใต้ท้องรถก็จะเปิดเองอัตโนมัติ
อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยจากข้อมูลผู้ผลิตคือ 12.3 กม./ลิตร แต่การขับของผมซึ่งมีทั้งจราจรหนาแน่น และการใช้ความเร็วพอควรแบบต่อเนื่อง ได้ประมาณ 11 กม./ลิตร ถือว่าน่าพอใจครับ
เอ็ม 4 คูเป้ มีค่าตัว 8,439,000 บาท หรือหากซื้อรวมแพ็กเกจ บีเอสไอ ราคาอยู่ที่ 8,909,000 บาท ไม่แรงเกินไปสำหรับคนที่มีกำลังซื้อ และอยากได้รถสปอร์ตที่ขับสนุกไว้ใช้งาน หรือขับเล่นๆ สักคัน และที่สำคัญคือขับได้ทุกวัน ไม่ใช่เน้นจอดประดับโรงรถเป็นหลัก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง