เที่ยวท่องสองฝั่งอันดามัน ระนอง-เกาะนาวโอพี

         เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของฤดูการท่องเที่ยว “ทะเล” ถือเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อย และแน่นอนว่าภูมิภาคที่เหมาะที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวทางทะเลก็เห็นจะไม่มีที่ไหนโดดเด่นไปกว่าทางภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต กระบี่ พังงา ล้วนเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ แต่วันนี้เราจะขอหลีกหนีจากความวุ่นวายของเมืองชายทะเลหลัก ไปสู่เมืองเล็กๆ อย่าง “จังหวัดระนอง” ที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป ทว่าความจริงแล้วระนองเป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่งทีเดียว

พระราชวังรัตนรังสรรค์

     ครั้งแรกของการแวะมาเยี่ยมเยียนระนอง ต้องไม่พลาดการเข้าชม “พระราชวังรัตนรังสรรงค์” (จำลอง) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งของ จ.ระนอง ในอดีตพระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พร้อมพระมเหสี 3 องค์ เมื่อครั้งที่เสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายใต้เมื่อวันที่ 23-25 เมษายน พ.ศ.2433 แต่เนื่องจากพระราชวังองค์เดิมพังไปตามกาลเวลา เมื่อปี 2545 จึงได้สร้างพระราชวังขึ้นใหม่ตามรูปแบบเดิมบนภูเขานิเวศน์คีรีเนื้อที่ราว 10 ไร่ องค์พระที่นั่งทำจากไม้สักและไม้ตะเคียนทอง ปัจจุบันพระราชวังรัตนรังสรรค์อยู่ในความดูแลของมูลนิธิพระราชวังรัตนรังสรรค์ โดยจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม  ระหว่างเวลา 09.00-17.00 น. คิดค่าเข้าชมในอัตราผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 20 บาท และชาวต่างชาติราคา 100 บาท   

 บ่อน้ำร้อนรักษะวาริน

    มาระนองทั้งทีถ้าไม่ได้สัมผัสน้ำร้อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติต้องถือว่ายังมาไม่ถึง ภายในจังหวัดระนองมีบ่อน้ำร้อนประเภทนี้เกิดขึ้นหลายแห่ง แต่ที่ขึ้นชื่อต้องยกให้ “บ่อน้ำร้อนรักษะวาริน” เพราะนอกจากจะตั้งอยู่ใกล้แหล่งชุมชนสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกแล้ว ที่นี่ยังจัดแต่งเป็นสวนสาธารณะให้ได้พักผ่อนหย่อนใจกันด้วย ด้านในบ่อน้ำร้อนแบ่งเป็น บ่อพ่อ บ่อแม่ และบ่อลูก ทั้ง 3 บ่อมีอุณหภูมิสูงประมาณ 65 องศาเซลเซียส เหตุผลสำคัญที่ประชาชนนิยมมาใช้บริการกันหนาแน่น เนื่องจากได้รับการวิเคราะห์จากกรมวิทยาศาสตร์บริการว่าประกอบด้วยแร่ธาตุที่สำคัญ และเป็นแหล่งเดียวในประเทศไทยที่ไม่มีสารกำมะถันเจือปนอยู่เลย อีกทั้งที่นี่ยังอยู่ภายใต้การดูแลของเทศบาลที่เปิดให้บริการประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายอีกด้วย

    หลังจากผ่อนคลายด้วยน้ำร้อนมาแล้ว ไม่ห่างกันนักเป็นจุดเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์สำคัญที่ถูกปิดตายไว้นานถึง 121 ปี แต่วันนี้ทายาท “บ้านเทียนสือ” ยินดีเปิดบ้านเก่าแก่อายุ 145 ปีให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเยี่ยมชมเพื่อเรียนรู้เรื่องราวในอดีต แถมเจ้าของบ้านยังจัดจุดถ่ายรูปเก๋ๆ ให้ได้โพสท่ากันอย่างสนุกสนานด้วย เรียกว่ามาที่นี่แล้วจะได้ติดกลับไปทั้งความรู้ ขณะเดียวกันก็ได้ภาพสวยๆ กลับไปเป็นที่ระลึกด้วย

     อีกหนึ่งจุดที่ถือเป็นไฮไลท์ของระนอง คือ “จุดชมวิวภูเขาหญ้า” จากตรงนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ทั่วเมืองระนอง ซึ่งโดยปกติแล้วบริเวณนี้จะมีหญ้าขึ้นเขียวขจีในช่วงเดือนตุลาคม-มกราคม นักท่องเที่ยวจึงมักจะมาจับจองพื้นที่กางเต็นท์นอนเพื่อเคาท์ดาวน์ในช่วงวันส่งท้ายปี หลังจากนั้นหญ้าจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองอร่ามสวยงามจับตาทีเดียว

      ซิตี้ทัวร์จนหนำใจ และเป็นที่รู้กันดีว่าระนองเป็นจุดเชื่อมโยงที่จะข้ามไปเที่ยวทะเลฝั่งเมียนมาร์ ซึ่งเกาะต่างๆ ขึ้นชื่อในเรื่องของความเป็นธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก ทริปนี้เราจึงเลือกที่จะข้ามไปที่ “เกาะนาวโอพี” ได้ยินชื่อแล้วไม่คุ้นหูหรืออาจยังไม่เคยได้ยินก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเป็นเกาะที่เพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปสัมผัสความสวยงามเป็นปีที่ 2 เท่านั้น โดย คิน หม่อง วิน ประธาน บริษัท วิคตอเรียคลิฟฟ์ทราเวลแอนด์โฮเต็ล จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทาน และได้หนุ่มใหญ่ร่างกำยำสัญชาติไทย เชื้อสายพม่า “แซม” สมชาย จิตรมงคล รับหน้าที่ผู้จัดการ คอยดูแลความเรียบร้อยในทุกๆ เรื่อง

เกาะนาวโอพี

      การเดินทางสู่เกาะสวรรค์ของบรรดานักดำน้ำเริ่มต้นที่ท่าเรือแกรนด์อันดามัน จากที่นี่เราเดินทางด้วยสปีดโบ๊ทใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที เพื่อทำเรื่องผ่านแดนที่ อ.เกาะสอง ซึ่งระหว่างรอนี้สามารถขึ้นฝั่งไปเดินถ่ายรูปเล่นได้ เมื่อทำเรื่องผ่านแดนเรียบร้อยนั่งสปีดโบ๊ทต่อไปอีกราว 1 ชั่วโมง 20 นาที ก็จะถึงจุดหมายปลายทาง ที่เกาะนาวโอพีแวดล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจี หาดทรายสีขาวเนื้อเนียนละเอียด ตัดกันน้ำทะเลสีเขียวใสส่องประกายระยิบระยับ 

ห้องพักแบบเต็นท์

     ท่ามกลางธรรมชาติปกคลุมยังมีที่พักสวยๆ ซ่อนอยู่กลางแมกไม้ โดยแบ่งเป็น 2 แบบให้เลือก คือ ห้องพักแบบเต็นท์มีทั้งหมด 12 หลัง แต่ละหลังนอนได้ 4 คน ส่วนห้องหักแบบติดแอร์มี 12 ห้อง นอนได้ 2 คน รวมแล้วจึงสามารถรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักค้างคืนได้ราว 80 คนต่อคืนเท่านั้น และนี่เองเป็นเหตุผลที่นาวโอพียังคงรักษาความสวยงามไว้ได้เป็นอย่างดีทั้งด้านบนชายฝั่งและในท้องทะเล

      นอกจากที่พักอันเงียบสงบที่ถือเป็นไฮไลท์แล้ว ที่พลาดไม่ได้เลยคือการดำน้ำชมแนวปะการังที่ยังสมบูรณ์อยู่มาก ซึ่งจุดดำน้ำสำคัญมี 7 ไดรฟ์ ได้แก่ แหลมดอกไม้ ถัดมาเป็นหาดมาดามทรายขาวเนียนละเอียด ส่วนที่เกาะเลสเตอร์จะมองเห็นปะการังอ่อนสีขาว แดง ชมพู ส้มในตัวเดียว ถัดมาที่เกาะภูเขาไฟ ที่นี่เป็นจุดดูดงดอกไม้ทะเลสีขาว ม่วง เขียว เหลืองอ่อน ไปต่อกันที่อ่าวผักกาดจะมีปะการังคล้ายดอกกะหล่ำ ส่วนที่ทุ่งดอกไม้มีดอกไม้หลายสีให้ได้ชมกันอย่างจุใจ ขณะที่ทุ่งวัลเล่ย์เป็นจุดที่จะได้เห็นปลาไหล ทั้งยังเป็นศูนย์รวมความหลากหลายของปะการังด้วย

     หลังจากดำผุดดำว่ายในทะเลอย่างสนุกสนานมาทั้งวันจนร่างกายเริ่มอ่อนแรง แต่เมื่อได้รับประทานอาหารอร่อยๆ พร้อมชมการแสดงที่ทางรีสอร์ทจัดมาให้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการแสดงที่สื่อถึงวิถีชาวพม่า ร่างกายก็ตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง เพราะแต่ละชุดการแสดงล้วนสวยงามน่าชม แถมบางชุดการแสดงยังตื่นเต้นเร้าใจจนร่างกายขยับตามจังหวะเพลงทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นรำทานาคา, เมาซัวโย, โชว์ควงกระบองไฟ, รำตีกลอง ที่ช่วยเติมเต็มให้ทริปนี้สมบูรณ์แบบขึ้นอีกเป็นกอง