ชมความงามระหว่างทาง... ไป “นมัสเต” เขา ... ‘Annapurna’ : โดย ณัฐภัทร พรหมแก้ว คมชัดลึกออนไลน์
สารภาพตามตรงว่า ตั้งแต่กลับมาจากทริปเทรคกิ้ง อันนาปุรณะ (Annapurna : A.B.C) Base Camp ที่ประเทศเนปาลได้ไม่ทันไร ใครสักคนในกรุ๊ปที่ไปด้วยกัน ก็ถามว่าคราวหน้ามีจะแพลนไปเดินเขาทีไหนดี ตัวเองได้แต่ยิ้ม เพราะรู้สึกเต็มอิ่มทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว ตอนนี้ยังไม่อยากไปเดินแบบนี้ที่ไหนอีกเลย แต่หลายวันผ่านไปพอได้พักจนหายเหนื่อย ความอยากกลับผุดขึ้นอีกครั้ง
เมื่อลองนึกย้อนกลับไป ตลอด 10 วันของการเดินเทรคกิ้ง บนเส้นทาง A.B.C. ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางยอดนิยมของคนทุกมุมโลก มีสิ่งที่รอให้ได้มาพบพบนั้นมีอะไรน่าประทับใจมากมาย
กว่าที่กลุ่มของเราจะเดินถึงจุดหมายบนเบสแคมป์ใช้เวลา 7 วัน เริ่มต้นเส้นทางที่ นายาพูล(Nayapul) - อุลเลรี (Ulleri) - โกเรปานี (Ghorepani) - พูนฮิลล์ (Poon hill) - ทาดาปานี (tadapani) - ชมรง(Chhomrong) - แบมบู(Bamboo) - ดูวเรลี (Deureli) และ จุดหมายคือ A.B.C. Base Camp บนความสูง 4,130 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ตลอดเส้นทางต้องเดินลัดเลาะและไต่ระดับความสูงของภูมิประเทศไปทีละน้อย ท่ามกลางสภาพอากาศที่ยังคงหนาวเย็น สลับกับฝนที่มักกลั่นตัวเป็นลูกเห็บในที่สุด รวมถึงหิมะอยู่บ้าง แต่ช่วงกลางวันแสงแดดจ้า ความหนาวที่ว่าเหมือนถูกซ่อนที่ไหนสักแห่ง การจะเดินโดยสวมเสื้อกันหนาวตัวเขื่อง ดูจะทรมานตัวเองเกินไป ร่างกายเมื่อเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ความร้อนภายในสะท้อนชัดผ่านเหงื่ออันชุ่มโชก แต่เมื่อหยุดนั่งพักความหนาวมันจะโผล่หน้ากลับมาอีกทันที
ในวันที่ 3 ของการเดิน เราสตาร์ทกันตั้งแต่ไก่โห่ เดินฝ่าความมืดไต่ระดับสูง ในสภาพอากาศที่ชื้นและหนาวเหน็บ เพื่อขึ้นไป พูน ฮิลล์ บนความสูง 3,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ถึงกับทำพวกเราออกอาการ แต่ละคนหอบกันเฮือกใหญ่ ทว่ามันกลับไม่ช่วยให้หายเหนื่อยมากนัก เพราะสิ่งที่เข้าไปในปอดคือหมอกที่ลอยอบอวลมากกว่าออกซิเจนนั่นเอง แต่เมื่อขึ้นไปถึงบนนั้น ความงามของวิวทิวทัศน์ที่เป็นเขาสูงเรียงรายทำเอาลืมเหนื่อยได้เลยทีเดียว
ตลอดเส้นทาง เราจะได้พบกับเพื่อนร่วมทางที่สวนกันไปมาเป็นระยะ เสียงทักทายด้วยคำว่า นมัสเต (Namaste) แปลว่าสวัสดีในภาษาเนปาลี ดังแลกเปลี่ยนเหมือนเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่ง ไม่ต่างกับยอดเขาอันนาปุรณะใต้ (Annapurna South) ที่ปรากฎยอดซึ่งถูกปกคลุมด้วยหิมะมาทักทายทุกคนที่เดินผ่านบนเส้นทางนี้
ความบันเทิงอย่างหนึ่งของกลุ่มเราเมื่อถึงที่พักค้างคืนระหว่างทาง คือการเล่นไพ่สลาฟ ดีที่มีคนในกลุ่มเตรียมมาด้วย ไม่อย่างนั้น คนเมืองอย่างเราคงเฉากันไปซะก่อน และผ่านไปหลายวัน รสชาติอาหารสไตล์เนปาลีที่ออกจะจืดและมันเริ่มแผลงฤทธิ์ กินติดๆ กันเข้า เหตุผลด้านความอร่อยเริ่มสำคัญน้อยกว่าความจำเป็นที่ต้องกินเพื่อให้มีแรงเดิน เมนูที่ทำจากแป้งและข้าวจึงเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ที่พักแทบทุกแห่งล้วนมีเมนูไม่ต่างกันเลย แต่วันนั้นที่พักบน ชมรง (Chhomrong) พอเรากวาดสายตาไปมาบนเมนู ก็พบว่ามีอย่างหนึ่งเตะตาเข้าอย่างจัง “Local Wine” แก้วละ 100 รูปี เรามองหน้ากันปุ๊บ เป็นอันรู้กันว่าสั่งมาลองให้มันรู้กันไป
ผิดคาด!!! ทันทีที่มันถูกยกมาเสริฟ เราต่างงุนงง เพราะคิดว่า Local Wine ที่ว่า น่าจะมีสีสันจากการหมักบ่มด้วยผลไม้ แต่นี่กลับขาวใสเหมือนน้ำเปล่า หรือเหล้าต้มท้องถิ่นแบบบ้านเรายังไงยังงั้น ดีที่สั่งมาลองแค่แก้วเดียว ดีกรีร้อนแรงแค่ไหน ดูได้จากสีหน้าแดงกล่ำของเพื่อนที่นั่งตรงข้าม
การเดินในวันที่ 7 เรากำลังมุ่งหน้าขึ้นเบสแค้มป์ ทางช่วงนี้เรียกว่ายากแตกต่างจากช่วงที่ผ่านมา เพราะต้องเดินลุยหิมะที่ทั้งลื่นและพื้นยวบจมในทุกก้าว ทำเอาเหนื่อยใช่เล่น แถมแสงแดดจ้าบนความสูงระดับ 3-4 พันเมตรเหนือระดับน้ำทะเล ที่ส่องกระทบตัวเรานั้นไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ดังนั้น เมื่อเดินกันถึงเบสแค้มป์ เราเลยไม่ย่างกรายออกนอกชายคาห้องอาหารกลางของที่พัก รอเวลาตะวันคล้อยถึงได้ออกไปตะลอนรอบที่พักที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ จุดที่เรายืนอยู่ถูกโอบล้อมด้วยเขาสูงมากมายได้แก่ ฮิอุนชูลี (Hiunchuli) 6,441 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล, อันนาปุรณะใต้ (Annapurna south) 7,219 เมตร, อันนาปุรณะ 1 ( Annapurna I ) 8,091 เมตร Singuchuli 6,390 เมตร มัจฉาปูชเร (Machhapuchhre) 6,993 เมตร
เรามีเวลาบนนั้นแค่ 1 คืน รุ่งขึ้นก็เก็บกระเป๋ามุ่งหน้าลงย้อนทางเดิมที่ขึ้นมาเมื่อวาน ตอนแรกนึกว่าจะกร่อย ที่ไหนได้ มีอะไรมันส์ๆ ให้ทำ มีอยู่จุดสองจุดที่สามารถสไลด์หิมะลงจากเนินเขาแทนการเดินได้ และที่ Jhinu จุดแวะค้างคืนสุดท้ายก่อนจบทริปนี้ มีบ่อน้ำพุร้อนติดลำธารกลางป่าให้ได้แช่อย่างหนำใจ คลายกล้ามเนื้อที่อ่อนล้าสะสมมาหลายวัน ทว่าบางทีเราอาจคิดผิดหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะจากบ่อน้ำพุร้อนเดินกลับที่พักอีกราวครึ่งชั่วโมงในสภาพทางขึ้นเขา ดูแล้วยิ่งจะเมื่อยกว่าเดิมเสียอีก
ถึงได้บอกไปตอนต้นว่า ตั้งแต่กลับจากทริปนี้ก็แทบไม่อยากไปซ่าส์ที่ไหนอีก แต่พอได้นอนพักฟื้นร่างกายเต็มที่ ก็พบว่านั่นเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ในใจกลับโหยหาสถานที่ใหม่ๆ ให้ได้ไปลองสัมผัสอยู่ตลอดเวลา...
ข่าวที่เกี่ยวข้อง