Lifestyle

ไขรหัสนมแม่ สารอาหารเพื่อพัฒนาสมอง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

กรดไขมันทุกชนิดรวมทั้งดีเอชเอ และเออาร์เอเหล่านี้ถูกผลิตออกมาจากต่อมผลิตน้ำนม

         นมแม่คือสุดยอดสารอาหารสำหรับทารก องค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟแนะนำให้แม่ให้นมบุตรเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน เพราะน้ำนมแม่มีสารอาหารที่สำคัญกว่า 200 ชนิดต่อการเจริญเติบโต ภูมิคุ้มกัน อนุมูลอิสระที่จำเป็นสำหรับทารก1 และพัฒนาการทางสมองซึ่งส่งผลต่อความฉลาดทางสติปัญญาและอารมณ์ โดยเฉพาะสำหรับเด็กในช่วงวัยแรกเกิดจนถึง 3 ขวบปีแรก ซึ่งเป็นช่วงที่สมองมีการพัฒนาถึง 80%

ไขรหัสนมแม่ สารอาหารเพื่อพัฒนาสมอง

รศ.นพ.สรายุทธ สุภาพรรณชาติ

      รศ.นพ.สรายุทธ สุภาพรรณชาติ หัวหน้าภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยว่า นมแม่อุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญและจำเป็นทั้งต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและพัฒนาการทางด้านสมองของลูก เช่น ดีเอชเอ (DHA) และ เออาร์เอ (ARA) ซึ่งเป็นกรดไขมันที่ร่างกายทารกจำเป็นต้องได้รับจากอาหารโดยตรง เพราะในช่วงวัยทารก ร่างกายสร้างสารอาหารเหล่านี้ได้ในปริมาณเพียงเล็กน้อยและอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการ การได้รับ ดีเอชเอและเออาร์เอในปริมาณที่เหมาะสม จะเพิ่มการเชื่อมต่อและสื่อสารระหว่างแสนล้านเซลล์สมองของลูก และยังช่วยพัฒนาจอประสาทตาและการมองเห็นของลูกอีกด้วย 

        "นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า เมื่อกรดไขมันทุกชนิดรวมทั้งดีเอชเอ และเออาร์เอเหล่านี้ถูกผลิตออกมาจากต่อมผลิตน้ำนม จะถูกห่อหุ้มด้วยเยื่อบางๆ เรียกว่า MFGM (Milk Fat Globule Membrane) ซึ่งนับเป็นสารอาหารสมอง ที่อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมัน กว่า 150 ชนิด3 ทำหน้าที่ ช่วยสร้างปลอกไขมันหุ้มเส้นใยสมอง (Myelin Sheath) เพิ่มประสิทธิภาพการส่งสัญญาณประสาท และยังช่วยในกระบวนการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง ยิ่งเซลล์สมองมีการเชื่อมต่อมากขึ้นและเร็วขึ้นเท่าไร การพัฒนาสมองของเด็กก็จะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ทำให้การค้นพบล่าสุดของสารอาหารสมองอย่าง MFGM ในนมแม่ จึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องสนใจและให้ความสำคัญ เพราะสมองของเด็กพัฒนาสูงสุดในช่วง 3 ขวบปีแรก หากลูกได้สารอาหารสำคัญครบถ้วนในการพัฒนาสมองในช่วงที่สำคัญอย่างมากนี้สมองของลูกจะเติบโตและทำงานได้เต็มที่ทั้งระบบ” รศ.นพ.สรายุทธ กล่าว

ไขรหัสนมแม่ สารอาหารเพื่อพัฒนาสมอง

ศ.เจฟฟรีย์ เคลกฮอร์น

          โดยล่าสุด ศ. เจฟฟรีย์ เคลกฮอร์น ผู้อำนวยการสถาบัน Institute of Health & Biomedical Innovation for Child Health Research Centre of Queensland University of Technology ประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยว่า เทคโนโลยีล่าสุด ทำให้เราสามารถเติมนวัตกรรมสารอาหาร MFGM ในผลิตภัณฑ์นมสำหรับเด็กได้ โดยจากการศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่า เมื่อองค์ประกอบหลักใน MFGM ทำงานร่วมกับ DHA จะช่วยเสริมการเชื่อมต่อเซลล์สมองเพิ่มขึ้นถึง ให้สมองทำงานเต็มที่ทั้งระบบ โดยงานวิจัยชี้ว่าทารกที่ดื่มนมที่เสริม MFGM จะพัฒนาทางด้านสติปัญญา และสมองใกล้เคียงกับเด็กที่ดื่มนมแม่ ดีกว่าทารกที่ดื่มนมสูตรปกติที่เพิ่มดีเอชเอเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้หลากหลายผู้เชี่ยวชาญระดับโลกให้การยอมรับและตื่นตัวกับการเติม MFGM ในผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับทารกและเด็ก

          ด้าน รศ.ดร.นพ.ดิฐกานต์ บริบูรณ์หิรัญสาร ภาควิชาสูตินรีศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ยังให้ความเห็นว่า นมผสมที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์อย่าง MFGM ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะมีงานวิจัยที่มีแนวโน้มไปในทางที่ดีว่าช่วยส่งเสริมเรื่องของสติปัญญา โดยกล่าวว่า “ปกติหลังคลอด ทีมแพทย์และพยาบาลจะให้ความรู้เกี่ยวกับการให้นมแม่และช่วยส่งเสริมคุณแม่ให้สามารถให้นมลูกได้สำเร็จ เพราะเป็นที่ทราบกันดี ว่า นมแม่ดีที่สุด แต่ปัญหาของคุณแม่หลังคลอดบางท่านพบว่า คุณแม่อาจมีน้ำนมไม่เพียงพอหรือไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวได้ จากสาเหตุต่างๆ หรืออาจมีข้อห้ามในการให้นมแม่ เช่น การติดเชื้อบางชนิด หรือการใช้ยาบางอย่าง เป็นต้น ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้นมผสมเพิ่มเติม ดังนั้นการเลือกให้ลูกได้รับนมผสมที่มีส่วนผสมของ MFGM ก็เป็นทางเลือกทางหนึ่งของคุณแม่ ที่จะช่วยให้ทารกได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างเหมาะสมและอาจช่วยสร้างเสริมในเรื่องพัฒนาการตามวัยของเด็กได้”

         รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กล่าวเพิ่มเติมว่า ในน้ำนมแม่มีไขมันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ และสมองก็ประกอบด้วยไขมันถึง 60% ดังนั้นเยื้อหุ้มอนุภาคไขมันที่พบในนมแม่อย่าง MFGM จึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองของลูก นอกจากนี้ งานวิจัยทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่าเด็กที่ได้รับนมที่เสริม MFGM และ DHA จะมีการพัฒนาความฉลาดได้อย่างเต็มระบบนอกเหนือจากด้านสติปัญญา นั่นคือ ความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งแสดงออกมาทางด้านพฤติกรรมอีกด้วย เช่นมี สมาธิจอจ่อมากขึ้น ไม่ก้าวร้าว และมีอารมณ์ดี ไม่ห่วงกังวลกับการเข้าสังคม  เมื่อสมองทำงานได้ดี เด็กมีสมาธิจดจำ ประมวลข้อมูลต่างๆ ได้ดี ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสู่การพัฒนาที่ดีในแง่ทัศนคติและพฤติกรรมของเด็กในอนาคต

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ