“Underdog Millionaire”กับอิสรภาพและ“การเพิ่มพูน”

          ในส่วนตัวผมแล้ว ชอบคำว่า “Underdog Millionaire” มากครับ ถ้าแปลตรงตัวแบบคำต่อคำ ซึ่งแปลว่า “เศรษฐีเงินล้าน” (Millionaire) ที่ “ต่ำต้อยกว่าสุนัข” (Underdog)  ก็ไม่ได้ใจความอะไร แต่หากแปลให้ได้ใจความก็จะหมายถึง “เศรษฐีเงินล้าน” ประเภท “ม้านอกสายตา” คือ ไม่มีทีท่าว่าจะรวยแต่ก็รวยอะไรทำนองนั้นครับ ซึ่งบรรดา “เศรษฐีเงินล้าน” ประเภท “ม้านอกสายตา” เหล่านี้จะต้องมี “คุณสมบัติ 8 ประการ” ในการมี “อิสรภาพ” และ “การเพิ่มพูน” ขึ้นอย่างไร้ข้อจำกัด ส่วนจะเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับบุญวาสนาประกอบกับจังหวะและโอกาสครับ

          ประการแรกคือ “อิสรภาพและการเติบโตขึ้นของทรัพย์สิน” (Growth of Assets) ไม่ว่าจะเป็นอาคาร, บ้าน, ที่ดิน ที่นับวันจะเพิ่มพูนขึ้น ประการที่ 2  คือ “อิสรภาพและการเพิ่มพูนขึ้นของรายได้ที่หลากหลาย” (Growth of  Income) ที่มาจากหลายทิศทาง (Multiple Sources of Income) ประการที่ 3 คือ “อิสรภาพและการเพิ่มพูนขึ้นของเวลา” (Freedom of Time) หมายความว่า ยิ่งมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งจะมีเวลาว่างมากยิ่งขึ้นเท่านั้น  ประการที่ 4  คือ “อิสรภาพและการเพิ่มพูนขึ้นของการคิดบวก”  (Freedom of  Positive Thinking) เป็นการมองโลกในแง่ที่ดีเสมอ เพราะคนแต่ละคน หรือ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละสถานการณ์ ไม่ว่าทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ฯลฯ ล้วนแล้วแต่มีทั้งด้านบวกและด้านลบเสมอ ในสถานการณ์เดียวกันนั้นเราสามารถที่จะมองด้านบวกหรือด้านลบก็ได้ แต่การมองในด้านบวกก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าไม่ใช่หรือครับ 

          ประการที่ 5  คือ “อิสรภาพและการเพิ่มพูนขึ้นของการให้”  (Freedom To Share)  หมายถึง “ยิ่งร่ำรวยก็ยิ่งให้” และ “ยิ่งให้ก็ยิ่งได้” เป็น “กฎของธรรมชาติ” ที่งดงามมากครับ ประการที่ 6  คือ  “อิสรภาพและการเพิ่มพูนขึ้นของการเรียนรู้” (Freedom To  Learn) จะต้องไม่เป็นคนประเภท “น้ำเต็มแก้ว” ซึ่งจะว่าไปแล้วกระบวนการเรียนรู้ที่แท้จริงนั้นได้เริ่มต้นตั้งแต่วันแรกที่เราได้ก่อร่างสร้างชีวิตและก็เรียนรู้กันไปจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตนั่นแหละครับ กระบวนการเรียนรู้จึงจะจบลง 

          ประการที่ 7 คือ “อิสรภาพและการเพิ่มพูนขึ้นในการทำ “หน้าที่ทางจริยธรรม” และ “การมีคุณธรรม&ศีลธรรม” (Moral & Ethical Growth) หมายความว่า ยิ่งมั่งคั่งร่ำรวยมากยิ่งขึ้นเท่าไรก็ยิ่งต้องช่วยเหลือผู้อื่นที่ด้อยโอกาสมากขึ้นเท่านั้น  และในขณะเดียวกันก็ยิ่งต้องทำ “หน้าที่ทางจริยธรรม” ภายใต้กรอบของ “คุณธรรม” และ “ศีลธรรม” ที่ “เคร่งครัด” มากยิ่งขึ้นเท่านั้น และข้อสุดท้าย คือ ประการที่ 8  ของ “เศรษฐีอสังหาฯ” ประเภท “ม้ามืดนอกสายตา” ที่ในอดีตเคยถูกใครต่อใครต่างสบประมาทดูถูกดูแคลน ซึ่งข้อสุดท้ายสำคัญมากครับคือ  “อิสรภาพและการเพิ่มพูนขึ้นของความสุขและของความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับคนรอบตัวและสังคมโดยรอบ” เป็นการยกระดับสังคมโดยรวมให้ดีขึ้น (“Growth of Happiness and Relation Ships Towards Better Society”) 

          โดยใน “อิสรภาพ” และ “การเพิ่มพูน” ขึ้นทั้ง 8 ประการนี้ หากคุณมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นด้วยทรัพย์สินเงินทองมากมายมหาศาล แต่คุณกลับไม่มีความสุขทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ เต็มไปด้วยโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเครียด, ความดัน, หัวใจ,ตับไต ฯลฯ หนักข้อเข้าก็เป็นมะเร็งในที่สุด ซึ่งโรคส่วนใหญ่ต่างๆ เหล่านี้แท้จริงแล้วไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคภายนอก แต่เกิดจากภายใน อันเป็นผลมาจากความเครียด รวมถึงทัศนะคติในด้านลบต่อการใช้ชีวิต แล้วจะมีประโยชน์อันใดกันครับ ที่ทรัพย์สินเงินทองที่อุตส่าห์หามาได้ด้วยความยากลำบากมากมายก็หมดสิ้นไปกับค่ารักษาพยาบาล ต่อให้โรงพยาบาลดีขนาดไหน แพงขนาดไหนก็เอาไม่อยู่หรอกครับ ถ้าตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ บรรดาเศรษฐีเหล่านั้นจะมี “อิสรภาพ” และ “การเพิ่มพูน” ขึ้นของความสุข (ผมหมายถึงสุขภาพทั้งกายและใจ) รวมถึงความสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดความสุขกับคนที่อยู่รอบตัวเราและสังคมที่อยู่รอบตัวเราโดยรวมได้อย่างไร

          ลองนำเอาข้อคิดของผมที่นำไปสู่ “อิสรภาพ” และ “การเพิ่มพูน” ขึ้นทั้ง 8 ประการ อันเป็น “คุณสมบัติพื้นฐาน” ของ “เศรษฐีเงินล้าน” ประเภท “ม้านอกสายตา” (Underdog Millionaire) ที่ลงทุนใน “อสังหาฯไม่บาน” นำไปต่อยอดทางความคิดกันดูครับ ผมได้ลองแล้วได้ผลดีแน่ ทั้งกับตัวเองและคนที่รัก เพราะท่านได้เป็นผู้ให้ เป็นผู้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันและท่านเป็นคนทำให้สังคมเล็กๆ รอบตัวท่านที่เกี่ยวเนื่องกับท่านในภาพรวมดีขึ้นครับ