แพทย์แนะสารโบท็อกซ์บำบัดออฟฟิศซินโดรม

 

                      "ผู้หญิงอย่าหยุดสวย” เป็นคำกล่าวที่คุณสาวๆ ทุกวัยให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะความสวยสดใส และบุคลิกภาพที่ดี จะทำให้ทุกคนที่ได้พบคุณเกิดความประทับใจ นอกจากนี้ความสวยยังสร้างความมั่นใจให้แก่คุณสาวๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งชายหนุ่มที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ แต่ด้วยปัจจัยหลายๆ ทั้งมลพิษ ความเครียด ทำให้ริ้วรอยไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นก่อนเวลาอันควร ดังนั้นสาวๆ ทุกคนต้องหาตัวช่วยทันที

 

 

 

 

                      นพ.พลพงศ์ ชยางศุ ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า ภาควิชาโสตศอนาสิก โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ปัจจุบันคนไข้ส่วนใหญ่ที่มาหาหมอจะมีปัญหาเรื่องริ้วรอย ปัญหาของรูปหน้า โดยเฉลี่ยอายุประมาณ 20 ปีขึ้นไป บางรายอายุ 17-18 ก็เริ่มจะมาหาหมอแล้วถือว่าเร็วมากๆ ซึ่งปัญหาของริ้วรอยก็เกิดจากหลายปัจจัย อาทิ ความเครียด มลภาวะ การพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่บางรายก็จะเกิดขึ้นจากกล้ามเนื้อเกร็งตัวมากเกินไป ที่เห็นชัดเจนที่สุดคือ ปัญหาการขมวดคิ้ว ซึ่งฝรั่งจะเป็นมากกว่าชาวเอเชีย อันนี้ก็จะทำให้รอยเหี่ยวย่นมาเร็วก่อนวันอันควร สำหรับขั้นตอนในการรักษา หมอจะประเมินคนไข้ก่อนว่าปัญหามากน้อยเพียงไหน โดยส่วนใหญ่ในการฉีดสารโบท็อกซ์ ตัวยาจะเริ่มออกฤทธิ์หลังจากที่ฉีดไปแล้วประมาณ 1 อาทิตย์ แล้วก็จะยังคงสามารถอยู่สภาพนั้นได้ประมาณ 4-6 เดือน

 

 

 

 

                      พร้อมกันนี้ได้ให้ความรู้ต่อว่า ปัจจุบันเทรนด์การรักษาด้วยสารโบท็อกซ์ ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่วงการแพทย์ให้การยอมรับ เพราะสามารถนำสารโบท็อกซ์มาฉีดบล็อกกล้ามเนื้อของไข้คน ที่มีปัญหาการปวดกล้ามเนื้อจากโรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากคนไข้บางรายรักษาด้วยการรับประทานยามากเกินไป แต่อาการยังไม่ดีขึ้น ซึ่งการรับประทานยาทำให้มีผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหารและตับ ดังนั้นการฉีดสารโบท็อกซ์เป็นอีกแนวทางการรักษา ที่สามารถบำบัดอาการปวดจากโรคออฟฟิศซินโดรมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถฉีดรักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า สำหรับคนที่มีปัญหามีเหงื่อออกเยอะ และเกิดจากความผิดปกติของต่อมเหงื่อ เช่น อยู่เฉยๆ หรืออยู่ในห้องแอร์ก็มีเหงื่อ ซึ่งจะฉีดแค่ตื้นๆ ไม่ลึกเหมือนการฉีดริ้วรอย เป็นการฉีดเพื่อลดการทำงานของต่อมเหงื่อ เพื่อไม่ให้ผลิตเหงื่อออกไปมาก

 

                      "ปัจจุบันสารโบท็อกซ์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จึงอยากฝากถึงคนไข้ทุกคนว่า ก่อนตัดสินใจรักษาด้วยสารชนิดนี้ ควรศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ให้ดีก่อน เพราะปัจจุบันมีการทำสินค้าปลอมออกมาจำหน่ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายมากๆ ขอแนะนำให้รักษากับคลินิกหรือโรงพยาบาล ที่มีใบอนุญาตถูกต้องจะดีที่สุด” คุณหมอกล่าวปิดท้าย