แว่นตาไฮเทค'กูเกิล กลาส'45,000บาท

                         21 ก.พ. 56  กูเกิลได้อัพโหลดวิดีโอในเว็บไซต์ยูทูบเผยแพร่ภาพการทำงานของแว่นตาอัจฉริยะ Google Glasses ที่จะทำให้เราสามารถเห็นจอแสดงผลของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่กรอบบนของเลนส์ข้างขวา ทำให้เราไม่พลาดการติดต่อข่าวสารใดๆในโลกออนไลน์ในระหว่างที่เราทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นชิงช้า การดิ่งพสุธา การนั่งรถไฟเหาะ หรือ เล่นสกี ขี่ม้า เป็นต้น

                         Google Glasses จะเหมือนแว่นตาปกติ แต่มีความสามารถเหมือนสมาร์ทโฟน ที่สั่งทำงานด้วยเสียง และแสดงข้อมูลหรือภาพที่มุมบนของเลนส์ข้างขวาโดยไม่รบกวนสายตา แว่นตายังสามารถถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอ แชร์คอนเทนต์ได้โดยตรงผ่านอีเมล์หรือโซเชียลเน็ตเวิร์ค รวมทั้งสามารถสนทนาได้เหมือนสไกป์ และยังสามารถรายงานสภาพอากาศหรือแสดงแผนที่การเดินทางได้

                         แต่ผู้สนใจที่จะครอบครองแว่นตาก่อนใคร ก็ต้องใช้ความพยายามกันสักหน่อย เพราะกูเกิล ได้จัดกิจกรรม Glass Explorer ให้ร่วมแข่งขันเพื่อพิชิตโอกาสซื้อ Google Glasses  ด้วยราคา 1,500 ดอลลาร์ หรือราว  45,000 บาท โดยจะต้องส่งใบสมัครที่เขียนเรียงความเสนอไอเดียการใช้งานของแว่นตาอัจฉริยะนี้จำนวน 50 คำ พร้อมกับภาพถ่าย 5 ภาพ และคลิปวิดีโอความยาว 15 วินาที แล้วส่งไปที่กูเกิล พลัส หรือ ทวิตเตอร์ภายในวันพุธหน้า แตผู้สมัครจะต้องเป็นผู้ที่อาศัยในสหรัฐที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป

                         ตัวแทนของกูเกิล บอกว่า กิจกรรมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสรรหาคนที่ตื่นเต้นจริงๆที่จะได้สัมผัสประสบการณ์กับเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนแปลงต่อสายตาของพวกเขา ผู้ชนะได้สิทธิซื้อแว่นตารุ่นนำร่อง Explorer เพราะสินค้าจะวางจำหน่ายจริงในปีหน้า คาดว่าจะประกาศผลผู้ชนะได้ช่วงกลางถึงปลายเดือนหน้า และจะต้องไปรับเองที่นิวยอร์ก ลอสแองเจลิส หรือซานฟรานซิสโก

                         แว่นตา Google Glasses ได้รับการพัฒนาตั้งแต่ปี 2553 และเซอร์เก บริน ผู้บริหารของกูเกิล ได้สวมแว่นตาเพื่อสาธิตการทำงานระหว่างแถลงข่าวเมื่อกลางปีที่แล้ว แต่การเปิดตัวเมื่อวานนี้ เป็นการส่งเสริมการตลาดก่อนการวางจำหน่ายจริง และบรินได้สวมแว่นตานี้ปรากฏตัวในที่สาธารณะหลายครั้งแล้ว และเขาคาดว่าเมื่อมีการผลิตปริมาณมาก ราคาจำหน่ายอาจถูกลงกว่า 1,500 ดอลลาร์ แต่ก็จะยังแพงกว่าสมาร์ทโฟน

 

 

--------------------

(หมายเหตุ : ที่มาภาพ : AP)