ข่าว

“สเนลเอท”ต่อยอดงานวิจัย คัดหอยทากพันธุ์ไทยสู่สินค้าระดับโลก!

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เรื่อง : อนัญชนา สาระคู

         "สินค้าไทยมีดี...ไม่แพ้ชาติใดในโลก"คำพูดนี้กำลังถูกพิสูจน์ด้วย "เมือก...จากหอยทากสายพันธุ์ไทย"ที่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ที่เป็นกึ่งๆ เวชสำอาง แบรนด์ไทยแท้ๆ "SNAIL8" 

          เจ้าของโดยบริษัท สยามสเนล จำกัด ที่เกิดจากการร่วมกันก่อตั้งของกลุ่มนักวิจัย ซึ่งเป็นคณาจารย์จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 4 ท่าน ผู้ที่นำพางานวิจัยจากหิ้ง...ไปสู่ห้างได้อย่างแท้จริง คือ ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญหา, ศ.ดร.สุพจน์ หารหนองบัว, ศ.ดร.กฤษณะ เนียมมณี และ ศ.ดร.อัญชลี ทัศนาขจร

          พ่วงด้วยรางวัลมาตรฐานระดับนานาชาติ อาทิ คว้าเหรียญทองในงาน 44th International Exhibition of Invention of Geneva ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมของประเทศไทย Premium Products of Thailand-The Pride of Thais ในงาน THAILAND INDUSTRY EXPO 2016

         “คม ชัด ลึก” ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับ “SNAIL8” ผ่านการพูดคุยกับ อาจารย์อัญชลี และอาจารย์สมศักดิ์ ผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็นเจ้าพ่อหอย ในงานมหกรรมทรัพย์สินทางปัญญา หรือ IP Fair 2016 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ครั้งที่ผ่านมา

 

“สเนลเอท”ต่อยอดงานวิจัย คัดหอยทากพันธุ์ไทยสู่สินค้าระดับโลก!

 

          อาจารย์บอกว่า แบรนด์สเนลเอท เป็นเจ้าเดียวที่ใช้สารสกัดจากเมือกหอยทากสายพันธุ์ไทยแท้ๆ ซึ่งก็ได้รับรางวัลในระดับนานาชาติมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเหรียญรางวัลจากเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเกาหลีใต้ ส่วนรางวัลแรกที่ได้รับคือจากสำนักวิจัยแห่งชาติ (วช.) นี่เอง โดยสารสกัดจากเมือกหอยทาก มีคุณสมบัติหลากหลาย

         ทั้งซ่อมแซม ช่วยฟื้นฟูผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ป้องกันการเกิดริ้วรอย ขจัดหมองคล้ำ มีประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ถือเป็นความลับของธรรมชาติที่มหัศจรรย์มาก และเราก็คิดว่าเมือกหอยทากของไทยมีคุณสมบัติที่ดีกว่า ด้วยการที่ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อน มีมลภาวะ หอยทากจึงมีความทนทานมากกว่าหอยทากที่อยู่ในเขตหนาว ซึ่งส่วนใหญ่มาจากทางยุโรป

        “ของเรามีจุดเด่น เพราะว่าเราเป็นหอยทากจากเขตร้อน และเราก็เป็นเจ้าเดียวที่ใช้หอยทากจากเขตร้อนด้วย ขณะที่ทั่วโลกที่เขาขายกันส่วนใหญ่เป็นหอยจากเขตหนาวทั้งนั้น และถ้าถามว่าดีอย่างไร ดีก็เพราะว่าหอกทากเราเจอกับแสงแดดเยอะ ยูวี มลภาวะ และอยู่ในเขตที่มีเชื้อโรคเยอะกว่า เพราะฉะนั้นเมือกที่เขาหลั่งมาปกคลุมผิวเพื่อให้เขาอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ จึงมีคุณสมบัติดีกว่าเขตอื่นๆ และจากงานวิจัย รวมทั้งผลทางวิชาการ ก็บอกว่าดีกว่าหอยเขตหนาว โดยได้จดเป็นความลับทางการค้า และถือว่าเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”

        สำหรับผลิตภัณฑ์ของเรา เริ่มต้นด้วยการทำซีรั่ม 2 ตัว คือแบบ เอจ ดีเฟนซ์ และอินเทนซีฟ ไวเทนนิ่ง เพราะเมือกหอยทากทำหน้าที่ในการฟื้นฟูและบำรุงผิวได้ดี ล่าสุดยังมีครีมทั้งเดย์ครีมและไนท์ครีม ทำให้ตอนนี้มีผลิตภัณฑ์รวม 4 ชนิดแล้ว โดยวางจำหน่ายที่ร้านวัตสันทุกสาขา, โอสถศาลา ซึ่งเป็นร้านขายยาของคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ, วุฒิศักดิ์ คลินิก ทุกสาขา, save drug ทุกสาขา และที่คิงเพาเวอร์ รางน้ำ รวมทั้งยังจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ เฟซบุ๊กของสเนลเอท และลาซาด้า

       “ก่อนหน้านี้เราผลิตในแบรนด์สยามสเนล และจำหน่ายภายในจุฬาฯ ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีมาก จนทำมาได้ปีกว่า บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในวุฒิศักดิ์ คลินิก ได้เข้ามาร่วมลงทุนและถือหุ้นเป็นสัดส่วน 50% ส่วนกลุ่มผู้เริ่มก่อตั้งยังถือหุ้นอยู่สัดส่วน 50% โดยผู้ร่วมทุนรายใหม่มีเป้าหมายอยากจะขยายสเนลเอท ไปสู่ตลาดโลก”

 

“สเนลเอท”ต่อยอดงานวิจัย คัดหอยทากพันธุ์ไทยสู่สินค้าระดับโลก!

 

        อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมาเป็น สเนลเอท นั้น อาจารย์อัญชลีเล่าว่า พวกเราได้พูดคุยกันมานานแล้ว อย่างอาจารย์สมศักดิ์ท่านวิจัยเรื่องหอยทากมาเป็นเวลานานกว่า 30 ปี ส่วนตัวอาจารย์เอง ก็เป็นคนชอบใช้สกินแคร์ ก็เลยมาคิดว่าทำไมผลิตภัณฑ์หอยทากจากชาติอื่นถึงได้รับความนิยมมากนัก จึงเริ่มที่จะปรึกษากัน และทำงานศึกษาวิจัย ว่าหอยทากของไทยมีดีอะไรบ้าง จนเมื่อได้ดูข่าวว่ามีการนำหอยทากเป็นๆ จากต่างประเทศเข้ามาเดินบนใบหน้าของลูกค้าที่ จ.เชียงใหม่ เป็นข่าวดังและฮือฮามาก ซึ่งยอมไม่ได้ที่จะมีคนมาบอกว่าหอยทากจากต่างถิ่นจะมาดีกว่าหอยทากของไทย

        “นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้เริ่มพัฒนามาเป็นผลิตภัณฑ์ขึ้น”

        ทั้งนี้ ช่วงเริ่มต้นมีผลิตภัณฑ์ 2 ตัวคือซีรั่ม และหลังจากมีผู้ร่วมทุนรายใหม่เข้ามาจึงเพิ่มผลิตภัณฑ์อีก 2 ตัวเป็นครีมบำรุงผิวหน้า ส่วนเร็วๆ นี้ก็จะเพิ่มเข้ามาอีกเป็นครีมกันแดด และมาสก์หน้าอีก 2 ชนิด

        “หลังจากมีผู้ถือหุ้นรายใหม่เข้ามา จะทำให้เราสามารถทำแผนการตลาดและขยายผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น ในอนาคตยังสามารถเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้ครบไลน์ เช่น นอกจากจะมีซีรั่มแล้ว ก็จะเพิ่มตัวคลีนเซอร์ และกลุ่มสกินแคร์ทั้งหมด นอกจากนี้ยังสามารถพัฒนาสูตรไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย หรือผลิตภัณฑ์สำหรับบอดี้ได้อีก จากขณะนี้เราจะเน้นผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้า”

         ด้านยอดขาย เมื่อปีก่อนซึ่งเป็นการผลิตและจำหน่ายกันเองมียอดขายประมาณ 20 กว่าล้านบาท และในปีนี้หลังจากมีผู้ถือหุ้นใหม่ ได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ ขยายตลาดมากขึ้น และทำแบรนดิ้ง ทำให้ยอดขายปีนี้เราตั้งเป้าไว้ที่ 300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัว ส่วนการลงทุนที่ผ่านมา บริษัทใช้เงินลงทุนไปแล้วมากกว่า 50 ล้านบาท ในจำนวนนี้ 30 ล้านบาทเป็นการลงทุนสร้างฟาร์มหอยทาก ซึ่งเป็นฟาร์มแบบกึ่งธรรมชาติ รวมทั้งโรงรีดเมือก โรงกรองเมือกและผลิตเมือก ซึ่งวัตถุดิบเหล่านี้จะผลิตในประเทศไทยทั้งหมด จากนั้นจะส่งไปยังโรงงานผลิตที่เกาหลีใต้

 

“สเนลเอท”ต่อยอดงานวิจัย คัดหอยทากพันธุ์ไทยสู่สินค้าระดับโลก!

 

         การที่เรายังใช้โรงงานผลิตที่เกาหลีใต้ เพราะว่าที่ผ่านมานั้นยอดการผลิตของเรายังไม่มากนัก และตัวเบส ที่ใช้ในการผลิต พบว่าที่เกาหลีใต้มีตัวดีๆ และมีให้เลือกได้มากกว่า สามารถมั่นใจในคุณภาพได้ ส่วนเรามีเมือกของเราที่ดีอยู่แล้ว จึงคิดว่าเลือกดีที่สุด และเหมาะกับผิวของคนไทย ิีอีกทั้ง เรายังถือว่า สเนลเอท เป็น “โปรดักท์ ออฟ ไทยแลนด์”

         อาจารย์อัญชลีกล่าวด้วยว่า การที่พวกเราเป็นนักวิจัย ก็อยากจะเห็นการนำผลงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ และเชื่อว่าการเข้ามาสู่อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมนี้จะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้สูง

         อีกทั้ง เชื่อว่าคุณสมบัติของหอยทากที่เราทำการศึกษากันมานั้น มีดีจริง และเป็นวัตถุดิบที่ดีจริงในการช่วยฟื้นฟูสภาพผิว และเหมาะสำหรับคนไทย จึงคิดว่าทำไมคนไทยจะต้องไปซื้อเครื่องสำอางเกาหลี ในเมื่อเราซึ่งทำการวิจัยมากว่า 30 ปี มีเมือกที่ดี ทำไมถึงมองของคนคนอื่นดีกว่า ทั้งๆ ที่ของเราก็มีคุณภาพดี เรื่องนี้จึงถือเป็นแรงบันดาลใจส่วนตัวที่อยากให้คนไทยรู้ว่าของไทยเองก็มีดี และขอให้ได้ทดลองใช้

         “การที่เราไปได้เหรียญรางวัลที่เกาหลี และเจนีวา มาแล้ว ก็อยากให้ภูมิใจว่าสินค้าไทยก็มีดีไม่แพ้ที่ไหนในโลก อยากให้ลองใช้ เพราะคนที่เขาใช้กันแล้วก็ติดใจและแนะนำบอกต่อกัน โดยสินค้าของเราถือเป็นสินค้าแบรนด์ไทย มาตรฐานระดับนานาชาติ” อาจารย์อัญชลี กล่าว

 

“สเนลเอท”ต่อยอดงานวิจัย คัดหอยทากพันธุ์ไทยสู่สินค้าระดับโลก!

 

จากฟาร์มหอยปั้นฝันสร้างพิพิธภัณฑ์

          อาจารย์สมศักดิ์ ปัญหา ผู้ที่ได้รับฉายาว่า “เจ้าพ่อหอย” บอกว่าหอยทากในบ้านเราเป็นหอยทากเขตร้อน ซึ่งหอยทากที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันเป็นหอยทากจากเขตหนาว แถบยุโรป ที่เรานำเข้าส่วนใหญ่เป็นหอยทากจากสเปน ด้วยความที่เป็นยุโรปอยู่ในเขตหนาว ดังนั้นการกระทบกับสิ่งแวดล้อม เช่น สารยูวี เชื้อโรค เชื้อรา หรือแบคทีเรียต่างๆ ก็จะน้อยกว่าในเขตร้อน ก็เหมือนกับคนไทย ซึ่งอยู่ในเขตร้อน ก็จะมีภูมิคุ้มกันดีกว่าคนในแถบยุโรป คุณสมบัติของหอยก็เช่นเดียวกันที่ย่อมจะดีกว่า

          ทั้งนี้ เราพิสูจน์จากการที่เราสกัดเอาสารโปรตีนออกมาก มีมากกว่า 30 เท่า และสกัดวิเคราะห์เชื้อจุลินทรีย์ พบว่าหอยทากสายพันธุ์ไทยต้านได้หลายตัว โดยเฉพาะที่เราเจอล่าสุด คือต้านเชื้อรา และจากการไปวิเคราะห์เรื่องฝ้า เรื่องเม็ดสี พบว่าสามารถยับยั้งได้จริง

         สำหรับหอยทางมีมากกว่า 600 สายพันธุ์ ส่วนการนำมาใช้มีไม่ถึง 10 สายพันธุ์ และหอยทากที่เราใช้คือ หอยนวล ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน จะมีมากที่ จ.มุกดาหาร นครพนม และอุบลราชธานี มีวงจรชีวิต 5-6 ปี

“สเนลเอท”ต่อยอดงานวิจัย คัดหอยทากพันธุ์ไทยสู่สินค้าระดับโลก!

         เมื่อเร็วๆ นี้ยังได้เปิดตัว สยามเสนล อีโค ฟาร์ม ซึ่งเป็นฟาร์มหอยทากเชิงนิเวศแห่งแรกของเอเชีย โดยฟาร์มหอยทากเป็นส่วนที่ต่อยอดจากงานวิจัย เข้าสู่ขั้นตอนการผลิตเมือกหอยทากสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และจะต่อเนื่องไปสู่ขั้นตอนของการผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางต่อไป โดยฟาร์มหอยทากเชิงนิเวศแห่งนี้อยู่บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ จำลองขึ้นให้เหมือนกับแหล่งอาศัยดั้งเดิมของหอยทากแต่ละสายพันธุ์ที่มาจากถิ่นฐานที่ต่างกัน

         มีการเลือกต้นไม้ที่หอยแต่ละชนิดชอบอยู่อาศัย มีการจัดระบบนิเวศของการอยู่ร่วมกันและพึ่งพากันกับสัตว์ชนิดอื่น เช่นไส้เดือน และกิ้งกือ มีระบบปรับอุณหภูมิและความชื้นอัตโนมัติ มีการจัดการของเสียและน้ำเสียที่ใช้ธรรมชาติบำบัดธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นแบบของโรงงาน zero waste รวมไปถึงการให้อาหารสูตรเฉพาะ เพื่อให้หอยทากผลิตเมือกที่มีปริมาณสารออกฤทธิ์บำรุงผิวพรรณในปริมาณที่เหมาะสม

        ในอนาคตยังมีแผนที่จะสร้างพิพิธภัณฑ์หอยทากบก เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชนและบุคคลทั่วไป ที่จะได้ตระหนักถึงคุณค่าของความหลากหลายทางชีวภาพที่เป็นทรัพยากรที่สำคัญอย่างยิ่งของชาติ

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ