ข่าว

'เอมไทย'ต่อยอดคุณค่าสมุนไพรสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของครอบครั

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

'เอมไทย'ต่อยอดคุณค่าสมุนไพรสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของครอบครัว : คมคิดธุรกิจนิวเจน เรื่อง:อนัญชนา สาระคู ภาพ:ศุกภชัย บุญลาภ นักศึกษาฝึกงาน

“เรานำภูมิปัญญาไทยมาต่อยอดด้วยนวัตกรรมใหม่ และผนวกเข้ากับเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย กลายมาเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับคนรักสุขภาพที่ใช้กันได้ทั้งครอบครัว”

นั่นเป็นแนวคิดเริ่มต้นของเจ้าของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพอนามัย แบรนด์ “เอมไทย” โดยมีสินค้าชูโรงคือ “ยาสีฟันสมุนไพรออร์แกนิค” เจ้าแรกและเจ้าเดียวในประเทศก็ว่าได้ ปัจจุบันยังได้ขยายไลน์สินค้ามาสู่ผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับเด็ก ที่ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น เพื่อสร้างความแตกต่างจากสินค้าทั่วไปที่มีอยู่ในท้องตลาด อีกทั้งยังเตรียมส่งสินค้าตัวใหม่ออกสู่ตลาดในเร็วๆ นี้เพิ่มเติมด้วย

“จักรพงษ์ บุปผานิโรจน์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท อควา ปุริ แลบบอราทอรีส์ จำกัด บอกว่า “เอมไทย” คือสินค้าของคนไทยที่เริ่มต้นมาจากความคิดที่ว่าเราจะใช้ภูมิปัญญาไทย ซึ่งก็คือสมุนไพรในบ้านเรานี่แหละ ส่วนชื่อนี้ ได้มาจากความต้องการสื่อให้รับรู้ถึงความเป็นไทยๆ คำว่าเอม ก็มาจากชะเอม ซึ่งก็จะไปพ้องเสียงกับคำในภาษาอังกฤษด้วยกับคำว่า aim ซึ่งแปลว่า จุดประสงค์ และเป้าหมาย

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะมาเป็น เอมไทย นั้น จักรพงษ์ เล่าว่า เคยทำงานในโรงงานมาก่อน รับผิดชอบงานในหลายด้านมากว่า 10 ปี จนพอที่จะมีความรู้ในเรื่องบริหารจัดการโรงงาน ส่วนน้องสาวทำงานด้านวิจัย อยู่ในวงการผลิตเครื่องสำอางและยา จนมีแนวคิดว่าจะออกมาทำธุรกิจกันเอง จึงได้ก่อตั้ง บริษัท อควา ปุริ แลบบอราทอรีส์ จำกัด ขึ้น เมื่อปี 2546 เน้นรับจ้างผลิต (โออีเอ็ม) สินค้าในกลุ่มสปา ดูแลสุขอนามัยและผิวพรรณ ซึ่งก็มีลูกค้าที่ในธุรกิจสปาชื่อดังอยู่หลายเจ้า

หลังจากเปิดโรงงาน ก็มีกระแสตอบรับดีขึ้นเรื่อยๆ จนมาเกิดวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่ เมื่อปี 2554 และต่อเนื่องมาด้วยปัญหาด้านการเมือง ซึ่งก็ทำให้บริษัทประสบปัญหายอดขายตกลง

แต่ในวิกฤติย่อมมีโอกาส เมื่อพบว่ายอดขายตก จึงคิดปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยหันมาทำสินค้าของตัวเอง เพราะเห็นว่ายังมีกำลังการผลิตเหลืออยู่บ้าง จึงคิดแตกไลน์ค้าที่แตกต่างจากการรับจ้างผลิตสินค้าให้แก่ลูกค้า จนมาลงเอยที่สินค้าในกลุ่มสุขภาพอนามัยของครอบครัว โดยเป็นสินค้าที่ใช้ภูมิปัญญาไทย ซึ่งก็คือสมุนไพรไทยนำมาต่อยอดด้วยนวัตกรรมเพิ่มเติม ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และที่สำคัญ มีคุณค่าที่มากกว่าสมุนไพรทั่วไป คือใช้สมุนไพรออร์แกนิค

“เมื่อปี 2557 ผลิตภัณฑ์ตัวแรกของเราคือ ยาสีฟันสมุนไพรออร์แกนิค ซึ่งนอกจากจะเป็นสมุนไพรออร์แกนิคแล้ว ยังต่างจากยาสีฟันสมุนไพรทั่วไปอีก คือใช้เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ที่ทำให้เนื้อของตัวยาสีฟันมีความเนียน ซึ่งแรกๆ เราก็อาศัยแจกเพื่อนๆ ตามข้างบ้านให้เขาทดลองใช้ และเราก็ใช้เองด้วย จนผลตอบรับออกมาค่อนข้างดี และมีการบอกต่อๆ กันไป ตอนนี้จึงขยายช่องทางจำหน่าย โดยเน้นไปวางขายในร้านค้าเพื่อสุขภาพ”

ไม่นานนัก ก็เพิ่มสินค้าใหม่เข้ามาเป็นยาสีฟันเช่นกัน แต่เพิ่มความสดชื่น โดยมีวิตามินซีเพิ่มเติมเข้าไป จนมาที่กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กภายใต้แบรนด์ “เอมไทย กรีน คิดส์” เริ่มที่ยาสีฟันออร์แกนิคสำหรับเด็ก ซึ่งนอกจากจะใช้วัตถุดิบซึ่งเป็นสมุนไพรที่เหมาะสมสำหรับเด็กแล้ว วัตถุดิบอื่นๆ ที่นำมาใช้เป็นส่วนผสม ก็จะเป็นฟู้ดเกรดทั้งหมด คือหากเด็กเผลอกลืนเข้าไปก็จะไม่เป็นอันตราย แต่เราก็ไม่ได้แนะนำให้กิน อีกทั้งไม่มีส่วนผสมที่เป็นน้ำตาลที่จะทำให้ฟันผุ และไม่มีฟลูออไรด์ ซึ่งแม้จะมีประโยชน์แต่หากมากไปก็จะทำให้ฟันดำได้ แต่เรามีนมแพะเสริมแคลเซียมเข้าไปในตัวยาสีฟัน และยังมีแชมพูโฟมสระผมและอาบน้ำออร์แกนิค ซึ่งก็ใช้วัตถุดิบที่เป็นฟู้ดเกรดเช่นกัน

ส่วนสินค้าที่จะเป็นเรือธงสำหรับการขยายตลาดเด็ก คือ แป้งไร้ฝุ่น ซึ่งจะเป็นเหมือนแป้งน้ำ เมื่อทาแล้วจะไม่มีฝุ่นแป้งที่อาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ฝุ่นแป้งได้ แต่จะแห้งสบายตัวและยังคงความชุมชื้นให้แก่ผิว ซึ่งเนื้อแป้งทำมาจากข้าวโพดและแป้งสาลี สามารถย่อยสลายได้ สินค้าตัวนี้ นอกจากเหมาะสำหรับเด็กแล้ว เรายังพบว่าผู้ใหญ่ก็ชอบใช้เช่นกัน

อีกชนิดคือแชมพูสระผมออร์แกนิค ซึ่งมีฤทธิ์ในการกำจัดเหา โดยสิ่งที่แตกต่างจากสินค้าทั่วไปคือ ปกติแล้ว แชมพูกำจัดเหาจะมีกลิ่นแรงมาก และจะทำให้แสบหนังศีรษะ แต่ตัวนี้เมื่อใช้แล้วจะเหมือนแชมพูทั่วไป และไม่แสบ เพราะเราไม่ได้ใส่สารเคมีที่เป็นอันตรายเลย แต่จะใช้สารสกัดจากสะเดา หนอนตายหยาก และใบฝรั่ง ซึ่งมีฤทธิ์กำจัดเหา และทั้งหมดเราก็มีส่วนผสมที่เป็นออร์แกนิคอยู่ด้วย

ในการทำตลาดสำหรับเอมไทยนั้น “หนุ่ม” จักรพงษ์ บอกว่าพยายามขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่เน้นที่จะนำสินค้าไปวางที่ห้างโมเดิร์นเทรด แต่จะมุ่งเป้าไปยังร้านค้าเพื่อสุขภาพ และร้านขายยาเป็นหลัก เพราะปัจจุบันพบว่าร้านค้าเพื่อสุขภาพขยายตัวอย่างรวดเร็วมีกว่า 3-4 แสนร้านค้าแล้วทั่วประเทศ และพบว่ามีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูงขึ้นจากหลายปีก่อนที่ยังมีไม่มากนัก ขณะที่โมเดิร์นเทรดเองยังมีไม่ถึง 10% ของร้านค้าเหล่านี้ด้วยซ้ำ โดยร้านที่มีสินค้าไปจำหน่ายแล้วเช่นที่ ศิริเวช ตำรับไทย และวิลล่ามาร์เก็ต บางสาขา เป็นต้น ซึ่งเราได้นำสินค้าไปวางจำหน่ายแล้วในหลักหลายร้อยร้านค้า และยังได้วางจำหน่ายผ่านช่องทางขายตรง ของแคตตาล็อกฟรายเดย์ ของมิสทิน อีกด้วย 

นอกจากนี้ จะเน้นขายสินค้าผ่านทางออนไลน์ ทั้งทางเว็บไซต์ของเอมไทยเอง www.aimthai.com รวมถึงเฟซบุ๊ก aimthaiorganic และไลน์ aimthai

ขณะเดียวกัน ยังมองการขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เบื้องต้นก็จะเป็นในกลุ่มซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) ก่อน โดยเฉพาะที่กัมพูชากำลังจะไปออกงานแสดงสินค้า เพื่อไปแนะนำสินค้าของบริษัทและยังจัดให้มีการเจรจาธุรกิจกันอีกด้วย ส่วนเมียนมาร์เรามองตามหัวเมืองหลักๆ ซึ่งจากการที่ได้ข้อมูลมาพบว่ายังไม่มีสินค้าในแบบที่เรามีไปขาย ซึ่งเราคิดว่าสินค้าเราน่าจะเข้าไปเสริมตลาดที่นั่นได้ อีกทั้งสินค้าไทยยังได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภคในประเทศเพื่อนบ้านด้วย จึงเห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ทำให้เราสามารถนำสินค้าไทยแท้ๆ ไปขยายตลาดที่นั่นได้

ส่วนสินค้าในกลุ่มเด็ก ปัจจุบันถือว่ามีคู่แข่งอยู่บ้าง แต่เราจะเน้นทำการตลาดที่แตกต่างกันออกไป คือจะเน้นไปเจาะตลาดตามโรงเรียนอนุบาล และโรงเรียนประถม ทั้งในต่างจังหวัด และปริมณฑลรอบๆ กรุงเทพฯ เพราะเรามองว่าเด็กๆ รุ่นใหม่นี้ จะมีพ่อแม่ที่มีอายุราว 30-40 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มพ่อแม่รุ่นใหม่ที่มีความสนใจในกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ และรู้จักว่าออร์แกนิคคืออะไร และมีกำลังซื้อ โดยจะนำแชมพูสระผม ที่มีฤทธิ์กำจัดเหา เป็นโปรดักท์ วินเนอร์ เข้าไปตามโรงเรียนต่างๆ จากนั้นค่อยนำผลิตภัณฑ์ตัวอื่นๆ ตามเข้าไป 

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้เฉพาะสำหรับเด็กเท่านั้นที่ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้ พ่อแม่เองหากติดจากลูกก็สามารถใช้ด้วยกันได้

ทั้งนี้ แม้การขยายตลาดของเอมไทยจะยังเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป แต่บริษัทก็มีเป้าหมายการผลักดันยอดขาย จากเดือนละหลักพันบาท ตอนนี้เพิ่มเป็นหลักแสนบาทต่อเดือน และมีเป้าหมายที่จะผลักดันยอดขายเป็นหลักล้านบาทต่อเดือน โดยผ่านการขยายช่องทางจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ที่เราพบว่าเติบโตค่อนข้างมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มมั่นใจถึงการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์แล้วได้สินค้าจริง ขณะที่เราเองก็พยายามสื่อสารและสร้างความน่าเชื่อถือในการจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องด้วย

“ยอดขายของเอมไทยอย่างปีที่แล้ว ยังคิดเป็นเพียง 10% ของยอดขายของทั้งบริษัท ซึ่งเราทำรายได้รวมทั้งปีอยู่ที่กว่า 50 ล้านบาท ดังนั้นยอดขายของเอมไทยก็อยู่ที่ประมาณ 5-6 ล้านบาท หากเพิ่มยอดขายมาได้เป็นหลักล้านบาทต่อเดือน ก็จะทำให้เอมไทยคิดเป็นสัดส่วนสัก 20% ของยอดขายรวมของบริษัท โดยผ่านการขยายจำนวนร้านค้าปลีกอีกเป็นเท่าตัว”

“หนุ่ม” บอกด้วยว่า ตลาดอี-คอมเมิร์ซ เป็นอีกตลาดที่มีการเติบโตมากขึ้น มีร้านค้าออนไลน์มากขึ้น ซึ่งบริษัทเราก็จะไปในช่องทางนี้ด้วย อีกทั้งเรายังพยายามสร้างทีมงานในการจัดทำบล็อก พูดคุยในเรื่องคุณประโยชน์ของสินค้าสมุนไพรออร์แกนิคว่าเป็นอย่างไร ในเชิงวิชาการ เพื่อให้ข้อมูล สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสมุนไพรที่มีในบ้านเรา ตลอดจนสินค้าออร์แกนิค และตัวสินค้าของเราให้มากขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น เอมไทย ยังมีเป้าหมายในการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยยังคงเน้นจุดเด่นในการเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพเช่นเดิม ซึ่งเจ้าของบริษัท อควา ปุริ แลบบอราทอรีส์ จำกัด กล่าวว่า ในเร็วๆ นี้ ก็จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่เปิดตัวออกมา เป็นยาสีฟันสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยจะมีสารสกัดจากหลายๆ ชนิดที่มีส่วนช่วยยับยั้งเลือดออกในขณะแปรงฟัน ส่วนผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเด็กก็จะมีตัวอื่นๆ ออกมาเพิ่มเติมเช่นกัน

นอกจากนี้ เมื่อพูดถึงเป้าหมายธุรกิจ เจ้าของผลิตภัณฑ์สุขภาพเอมไทย บอกว่า เรามั่นใจว่าสินค้าที่เราได้นำเสนอจะดีต่อสุขภาพของผู้ใช้ได้ในระยะยาว และสามารถใช้ได้กันทั้งครอบครัว

“นั่นก็คือความตั้งใจแต่แรกเริ่มอยู่แล้วของทีมผู้บริหาร ที่เราต้องการให้เอมไทย เป็นแบรนด์ทางเลือกของผู้ที่รักสุขภาพ มีความภูมิใจในภูมิปัญญาไทยที่มีมานานแล้วในเรื่องสมุนไพร ซึ่งเราก็พยายามที่จะนำจุดนี้มาใช้ และเราก็ใส่ใจผู้บริโภค ว่าเราทำมาก็เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวได้ใช้ และเราเองก็ใช้ด้วย”

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ