ข่าว

ชาตรี ตรีศิริพิศาล'มวยไทย'แรงบันดาลใจโกยพันล้าน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ชาตรี ตรีศิริพิศาล'มวยไทย'แรงบันดาลใจโกยพันล้าน : คมคิดธุรกิจนิวเจน เรื่อง/ชาญยุทธ ปะวะขัง

           ท่ามกลางความประทับใจและอารมณ์ที่หลากหลายของผู้ชมมหกรรมชิงแชมป์โลกกีฬาต่อสู้ “มิกซ์ มาเชียล อาร์ต” หรือ “เอ็มเอ็มเอ” รายการ “วัน แชมเปี้ยนชิพ (One Championship)” วันนั้นแม้ยอดนักชกชาวไทยจะพลาดท่าเสียเข็มขัดแชมป์ให้แก่คู่ต่อสู้ชาวอาทิตย์อุทัยไปอย่างน่าเสียดาย หากอีกมุมหนึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามในแง่ปลุกให้คนไทยรู้จักและเข้าใจศิลปะการต่อสู้ชนิดนี้ไม่น้อย ตรงกับความตั้งใจของผู้จัดอย่าง ชาตรี ตรีศิริพิศาล นักธุรกิจลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ที่อยากประชาสัมพันธ์ มิกซ์ มาเชียล อาร์ต ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง พร้อมกับปูพื้นฐานให้คนที่สนใจกีฬาหมัดมวยที่รวมเอาศิลปะการต่อสู้นานาชาติไว้ในหนึ่งเดียวนี้ได้เกิดแรงบันดาลใจเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง โดยลงทุนหลักร้อยล้านเปิดยิมสอนครบสูตรในชื่อ “อีโวล์ฟ เอ็มเอ็มเอ ยิม (Evolve mixed martial arts)” ปักหมุดที่สิงคโปร์เป็นที่แรกและมีแผนขยายมาเมืองไทยในเร็ววัน
    
           ถนนสายสังเวียนนักสู้ของชาตรี ไม่ได้เคาะระฆังปุ๊บปล่อยหมัดได้ปั๊บเหมือนบนเวที ก่อนหน้าจะก้าวมาเป็นนักธุรกิจพันล้านด้านกีฬาต่อสู้ ชีวิตของเขาผกผันโซเซมานักต่อนัก จากเด็กชายที่เกิดในครอบครัวค่อนข้างมีอันจะกินที่บ้านทำธุรกิจซื้อขายที่ดิน วันว่างพ่อได้พาไปฝากไว้ในค่ายมวย “ศิษย์ยอดธง” พัทยา ของ ครูยอดธง เสนานันท์ หวังให้ลูกชายมีวิชาหมัดมวยติดตัว แต่ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำก็นำพาวิกฤติมาสู่ครอบครัวล้มละลายหนี้สินล้นตัว พ่อแม่แยกทางกัน แม่ชาวญี่ปุ่นตัดสินใจส่งเขาไปตายเอาดาบหน้าที่สหรัฐอเมริกาโดยลำพัง ชาตรีในวัยหนุ่มดิ้นรนสุดชีวิต อดมื้อกินมื้อ แต่อยู่รอดได้ด้วยการรับจ้างสอนมวยไทยซึ่งเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่ติดตัวมาจากเมืองไทย และความรักดีทำให้สามารถคว้าปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยทัฟท์ส (Tufts) และปริญญาโทบริหารธุรกิจ จากฮาวาร์ด บิซิเนส สคูล มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และเข้าทำงานด้านการลงทุนในบริษัทการลงทุนเงินชื่อดัง “วอลล์สตรีท” ช่วงนี้เองเงินทองไหลมาเทมาจากความเป็นคนฉลาดคิดต่อยอดเงินทอง จนสามารถกอบกู้ฐานะทางบ้านสำเร็จและเปิดบริษัทรับปรึกษาการเงินการลงทุนของตัวเองได้ 

           ในวัย 35 ปี “ชาตรี” ร่ำรวยมาก ขณะเดียวกันเขาพบว่าการมีเงินหลายพันล้านบาทหาใช่ความสุขที่แท้จริง จึงคิดใคร่ครวญจนเห็นว่าแท้จริงแล้วตัวเองรักและผูกพันกับมวยไทยมาก คิดถึงวันเก่าๆ ที่มีความสุขกับกีฬาโปรด เจ็บตัวบ้างแต่ “มันใช่” สุดท้ายตัดสินใจขายทิ้งบริษัทที่ปั้นมากับมือแล้วหอบเงินก้อนใหญ่ผันตัวเองมาคลุกวงในกับสิ่งที่รัก เปิดยิม “อีโวล์ฟ” โดยใช้มวยไทยที่เป็นสุดยอดอันดับ 1 เรื่องการยืนชกเป็นแกนหลักในการนำเสนอศิลปะต่อสู้แนวผสมผสานที่เรียกว่า “เอ็มเอ็มเอ” โดย 1 การแข่งขันสามารถปล่อยอาวุธได้ร่วม 10 รูปแบบ ทั้ง มวยไทย, มวยสากล, ยูยิตสู ศิลปะการต่อสู้แบบแซมโบ บราซิลเลียน, ยูโด, คาราเต้ ศิลปะการป้องกันตัวของญี่ปุ่น, สีลัต ศิลปะการป้องกันตัวของชาวมลายู, เทควันโด ของเกาหลี, กังฟู การต่อสู้ของชาวจีนโบราณ และ มวยปล้ำ 
    
           “เราตั้งใจทำอีโวล์ฟให้เป็นแหล่งโค้ชชิ่งกีฬา เอ็มเอ็มเอ ที่ดีที่สุดและได้มาตรฐานระดับโลก ที่นี่จึงรวมเทรนเนอร์นักสู้ฝีมือดีจากทั่วโลก โดยมีคติประจำใจคือ Unleash Your Greatness ปลดปล่อยความยิ่งใหญ่ด้วยศักยภาพในฐานะมนุษย์ ตราสัญลักษณ์ของยิมที่มีรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนอยู่ด้านบน สื่อถึงการพัฒนาตนเอง 4 มิติ คือ จิตใจ ร่างกาย อารมณ์ และจิตวิญญาณ โดยปรัชญาสำคัญของที่นี่คือการสอนศิลปะการต่อสู้ที่มาจากความเป็นจริง ทุกท่าทางที่สอนสามารถนำมาใช้ป้องกันตัวในชีวิตจริงได้ และผู้เรียนจะสามารถพัฒนาทักษะการป้องกันตัวได้ด้วยตัวเอง ทุกเทคนิคผ่านการทดสอบและได้รับการรับรอง มีคลาสสอนกว่า 500 คลาสต่อสัปดาห์ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกระดับ โรงแรม 5 ดาว” อดีตนักชกเจ้าของฉายา “ชาตรี ศิษย์ยอดธง” วัย 45 ปี เผยรูปแบบธุรกิจเพื่อสุขภาพแนวใหม่

           อีโวล์ฟลงทุนเริ่มต้น 150 ล้านบาท 7 ปีที่ดำเนินธุรกิจมามีเม็ดเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่าพันล้านบาทต่อปี จนนิตยสารฟอร์บส์ยกย่องให้เป็นค่ายมวยอันดับ 1 ของโลก ทั้งในแง่รายและได้การสร้างแชมเปี้ยน นอกจากนี้ยังปิ๊งไอเดียต่อยอดธุรกิจด้วยการเปิดมหาวิทยาลัยสอนมวยออนไลน์ในชื่อ “อีโวล์ฟ ยูนิเวอร์ซิตี้” มีคนคลิกเข้าไปเรียนรู้เรือนหมื่นเรือนแสน โดยบรรจุวิดีโอการสอนมวยท่าต่างๆ ไว้แล้วให้ผู้สนใจจ่ายเงินเดือนละ 10 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อใช้บริการ และเพื่อความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นจึงมีการเปิดสังเวียน “วัน แชมเปี้ยนชิพ” ที่ลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อให้เป็นสนามประลองวิชาของเหล่าคนชื่นชอบศิลปะการต่อสู้ชนิดนี้

           ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินธุรกิจ ชาตรีเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ลูกค้าร้อยละ 95 ต้องการชกมวยไทยเพื่อเรียนรู้วิธีป้องกันตัวเอง ออกกำลังกาย และลดน้ำหนัก ส่วนที่เหลือต้องการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ประเภทอื่นๆ มีตั้งแต่เด็ก ผู้ชาย และผู้หญิง อายุเฉลี่ย 4 ปี ถึง 65 ปี ในหลากหลายสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็น แพทย์, ซีอีโอ, วิศวกร, บริกร, ครูอาจารย์, ข้าราชการ เป็นต้น ซึ่งสมาชิกต้องเสียค่าเรียนคนละ 359 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 1 หมื่นบาทต่อเดือน อีโวล์ฟจึงเป็นค่ายที่เก็บค่าเล่าเรียนแพงที่สุดในค่ายมวยระดับเดียวกันทั่วเอเชีย 

           “สำหรับมวยไทยที่แตกออกเป็นหลายรูปแบบทั้งมวยคาดเชือก มวยไชยา หรืออื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน เหล่านี้ไม่เป็นปัญหาในการนำมาบรรจุไว้ในหลักสูตรการสอน ผมจะเลือกถ่ายทอดเพียงท่าเบสิกอย่างการเตะ ต่อย เข่า ศอก ฯลฯ เมื่อไปรวมกับศิลปะการต่อสู้ชนิดอื่นๆ จนเป็น เอ็มเอ็มเอ จึงสอดคล้องกันและลงตัว จะเรียกว่า “อีโวล์ฟ” เป็นฮาร์วาร์ดด้านศิลปะการต่อสู้ก็พอจะได้” ชาตรี เผยพร้อมกับเสริมว่า โชคดีที่ตัวเองมีประสบการณ์ทำงานจากสหรัฐอเมริกา ทำให้สามารถวางแผนการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่เลือกสิงคโปร์เป็นที่บุกเบิกเพราะก่อนหน้านี้มีธุรกิจที่ดิน การเงินอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งอีโวล์ฟเป็นธุรกิจที่รักและคลุกคลีมากที่สุด แต่รายการวันแชมเปี้ยนชิพที่ตระเวนจัดไปทั่วโลกก็โปรดไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะทำเงินได้มหาศาลในห้วงเวลาที่ปลุกปั้นมา 

           “ถ้าไปอเมริกา มีมหกรรมกีฬาเอ็นบีเอ, ยูเอฟซี, เอ็นเอฟแอล มูลค่าการตลาด 5 แสนกว่าล้านบาท ที่อังกฤษมีพรีเมียร์ลีกมูลค่าไม่ต่างกัน มาเอเชียมีอะไร วัน แชมเปี้ยนชิพน่าจะใหญ่ที่สุดแล้วมั้งสำหรับรายการแข่งขันชกมวย เพียง 3-4 ปี ที่จัดมามีมูลค่าการตลาดหลายแสนล้านบาท เกิดจากอะไรต้องอธิบายว่านอกจากการขายบัตร ขายโฆษณา แล้วยังมีการถ่ายทอดสดออนไลน์ทางอินเทอร์เน็ตด้วย ผมมองว่า 10 ปีก่อนคนดูทีวี อ่านหนังสือ หนังสือพิมพ์ แต่ทุกวันนี้มีแต่อินเทอร์เน็ต ทุกคนมีสมาร์ทโฟน อย่างคอนเทนต์ของทรู สปอร์ต ช่องที่คนติดตามมากสุดไม่ใช่หนัง ละคร หรือเพลง แต่คือกีฬา ชิงแชมป์เวลา 3 ทุ่มทุกคนต้องตั้งตาดู แข็งเสร็จแล้วย้อนมาดูได้แต่ไม่สนุกเท่าดูสด นั่นเป็นเสน่ห์ของกีฬาที่ต้องดูถ่ายทอดสดแบบเรียลไทม์” ชาตารี เน้นย้ำถึงแนวทางการทำตลาด 

           ไม่มีอะไรได้มาแบบฟลุกๆ ทุกอย่างล้วนเกิดจากความรักและตั้งใจ สิ่งที่นักธุรกิจพันล้านรายนี้ยึดถือมาตลอดชีวิตบนถนนสายนักสู้คือ “การทุ่มเททำในสิ่งที่รักแล้วจะพบกับคำว่าสำเร็จพ่วงมาด้วยเม็ดเงินและความสุข” โดยเมื่อเร็วๆ นี้เขามีโอกาสได้ไปพูดสร้างแรงบันดาลใจเรื่องการใช้ชีวิตและการทำงานให้นักเรียนที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในยุโรปฟัง โดยบอกคีย์เวิร์ดสำคัญที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จว่ามี 5 องค์ประกอบ อันดับแรกต้องทำในสิ่งที่รักแล้วจะมีใจสู้เมื่อพบความล้มเหลว หรือต่อให้ไม่สำเร็จก็ถือว่าได้ทำในสิ่งที่รักแล้ว ถัดมาต้องมีต้นแบบที่ดีแล้วเรียนรู้ตาม สามทุกวันตื่นมาต้องหาความรู้พัฒนาตัวเองวันละ 1 เปอร์เซ็นต์ ก็เพียงพอ สี่ต้องคบเพื่อนดีที่พากันไปทำสิ่งดีๆ และสุดท้ายต้องมีใจสู้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จะสามารถผ่านพ้นไปได้  

           “ผมอาจจะเป็นครึ่งญี่ปุ่น แต่หัวใจ 100 เปอร์เซ็นต์คือไทย ผมกินอาหารไทยทุกวัน มีเพื่อนคนไทย แค่พูดภาษาไทยไม่ชัด (หัวเราะ) ที่สำคัญผมรักมวยไทย เพราะคือชีวิตผม มวยไทยสอนคนชก...เวลาคุณกลัว เจ็บ เศร้า คุณต้องสู้ เป็นสิ่งสำคัญมากของชีวิตนักมวย ถือว่ามวยไทยเป็นแรงบันดาลใจให้ผมทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในทุกวันนี้...” มหาเศรษฐีระดับย่อมๆ เจ้าของฉายา “ชาตรี ศิษย์ยอดธง” ทิ้งท้ายชวนคิด
 
 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ