พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต เรียนรู้วิถีชีวิตที่เรียบง่ายของครอบครัวชาวอีสานสมัยก่อน
บ้านเรือนไทยอีสาน
ซึมซับวิถีชาวบ้านสมัยก่อนแบบเรียบง่ายแต่มีสไตล์ กับ พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ ที่หมู่บ้านขี้เหล็กใหญ่ ต. หนองพันทา อ. โซ่พิสัย จ. บึงกาฬ หมู่บ้านเล็กๆ ของชุมชนที่เงียบสงบ โดยบ้านเรือนไทยหลังนี้เป็นบ้านของครอบครัว "ขาบ" สุทธิพงษ์ สุริยะ มาหลายเจเนอเรชั่น จนล่าสุดเมื่อลูกหลานแยกย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ จึงตัดสินใจนำบ้านเรือนไทยอีสานหลังนี้มาปรับปรุงให้เป็น “พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต” มุ่งหมายให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้วิถีชีวิตที่เรียบง่ายของครอบครัวชาวอีสานสมัยก่อน ผ่านข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ละชิ้นเป็นของดั้งเดิมที่ผ่านการใช้งานจริงและถูกเก็บรักษาเป็นอย่างดี
สุทธิพงษ์ สุริยะ
ที่มาของการตั้งชื่อ “พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ” นั่นเพราะเจ้าของบ้านยังพักอาศัยอยู่ชั้นล่าง แต่ชั้นบนได้ปรับเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้นักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจเข้าชม โดย “ขาบ” สุทธิพงษ์ ผู้ก่อตั้งเล่าว่า ได้นำศิลปะเข้ามาจัดการอย่างมีระบบ เพื่อให้เข้ากับวิถีเกษตรชุมชน ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบยั่งยืน เพื่อให้ผู้คนมาเจอกันและมีรายได้เกื้อกูลกัน จุดเด่นอยู่ที่ “ศิลปะ” ที่นำระบบงานออกแบบร่วมสมัยเข้ามาผสมผสานให้ดูสวยงามและมีอัตลักษณ์ของชุมชน ทำให้เกิดชุมชนเกื้อกูล บอกเล่าเรื่องวิถีความเป็นอยู่ดั้งเดิมให้คนอยู่ใกล้ชิดและอบอุ่นกัน โดยมีแนวทางเกษตรเป็นตัวเชื่อมทำให้เกิดความยั่งยืน
มุมรับแขก
บายศรีสู่ขวัญ
ภายในอาณาบริเวณราว 3 ไร่ มีบทบาทและหน้าที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้ เริ่มจาก พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต เรือนไม้อีสานอายุกว่า 60 ปี ที่นับวันจะหายไปตามกาลเวลา ลักษณะโดยทั่วไปของบ้านอีสานจะมีระเบียงกว้างไว้สำหรับทำกิจกรรมส่วนรวม เมื่อเปิดประตูเข้าไปข้างในบ้านจะมีห้องโถงกลางใหญ่ แบ่งเป็นห้องปีกซ้ายและปีกขวา ที่พิพิธภัณฑ์นี้ได้รับการปรับปรุงโดยนำดีไซน์ที่อิงธรรมชาติเข้ามาใช้ แต่ละห้องประดับประดาด้วยภาพขาวดำของในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่มีต่อประชาชนชาวอีสานและชาวไทยทั้งปวง
ห้องครัว
ตามมุมห้องจะจัดแสดงและตกแต่งด้วยผ้าซิ่นไหมของบรรพบุรุษที่คนอีสานสมัยก่อนมักจะนุ่งผ้าซิ่นไหม นุ่งโสร่ง สวมใส่เสื้อสีขาวเข้าวัดกันให้ชม อีกฝั่งของบ้านที่เชื่อมติดกันก็จะมีครัวอีสานแบบสมัยก่อน ที่ปัจจุบันมักจะหลงเหลืออยู่น้อย ครัวที่นี่เรียกได้ว่ามีความสมบูรณ์เหมือนครัวที่ใช้จริงเมื่อ 60 ปีก่อนทุกประการ มีข้าวของในครัวที่เคยใช้งานจริงจัดแสดงให้ดู ส่วนอีกฟากด้านหลังของห้องครัวได้ปรับเป็นมุมรับแขกโทนสีขาวเขียวและน้ำตาล ฉากแผ่นไม้สีน้ำตาลที่ผ่านการใช้งานมานาน ตัดกับสีเขียวของข้าวของที่ตกแต่งสมัยใหม่ เป็นการผสมผสานที่แตกต่างแต่ลงตัว ในตัวบ้านสมัยก่อน จะมีพิธีบายศรีสู่ขวัญเป็นประจำมีชาวบ้านมาร่วมวงด้วย พอจบพิธีก็ทานข้าวด้วยกันตามวิถีชีวิตคนอีสาน
ตกแต่งด้วยผ้าซิ่นและโสร่ง
“ภาพเหล่านี้ได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งล่าสุดพวกเราญาติพี่น้อง ตระกูลสุริยะ ได้มาร่วมพิธีบายศรี ซึ่งทำจากใบตองและตกแต่งด้วยดอกดาวเรืองและดอกพุดตูมสีขาวซึ่งเป็นดอกไม้ที่คนอีสานนำไปไว้พระ และกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของพิพิธภัณฑ์ ลูกหลานได้มาขอพรจากผู้ใหญ่ เป็นบรรยากาศที่หวนรำลึกถึงอดีตและมีคุณค่าต่อจิตใจ ทุกคนรู้สึกประทับใจยิ่งนัก” เจ้าของบ้าน กล่าว
ลานศิลปะ
กรีน แอ็คติวิตี้
ในส่วนของ “กรีน แอ็คติวิตี้” หรือลานอเนกประสงค์ติดกับพิพิธภัณฑ์ มุ่งเน้นกิจกรรมเพื่อสนับสนุนชุมชน การมีส่วนร่วมและสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ในเชิงบูรณาการแบบยั่งยืน โดยเปิดพื้นที่ให้ชุมชนนำอาชีพเสริม เช่น งานจักสาน งานผ้าทอ งานหัตถกรรม มาวางจำหน่ายให้แก่ผู้มาเยี่ยมชม นอกจากนี้ ยังมีเปิดพื้นที่ให้เด็กๆ มาช่วยกันวาดภาพระบายสีตามจินตนาการ เพื่อช่วยกันเผยแพร่ชุมชนให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเปิดเวทีให้ศิลปิน นักออกแบบ และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้มาแลกเปลี่ยนผลงาน เป็นวิทยากรแนะนำการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยดีไซน์จากอาชีพของชุมชน เน้นบริการวิชาการแก่สังคม เพื่อร่วมมือกันพัฒนาชุมชนแบบยั่งยืน
ข้าวจี่ วิถีกินอยู่อีสาน
เด็กๆ มีความสุข
ยังมี ตลาดชุมชนพอเพียง ที่ละลานตาไปด้วยภาพวาดศิลปะบนกำแพงสังกะสีผืนยาวนำเสนอเรื่องราวของวิถีผู้คนในชุมชนอีสาน สร้างสรรค์โดยศิษย์เก่าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.ศิลปากร เป็นภาพของเด็กๆ ในหลายๆ อิริยาบท ทั้งกระโดดเล่นน้ำในคลอง, เลี้ยงไก่ชน, จับปลา, เลี้ยงควาย, ยิงหนังสติ๊ก ฯลฯ ลานศิลปะ เน้นอัตลักษณ์ชุมชนเพื่อแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัย รวมถึง วัดโพธิ์ศรีมงคล วัดเล็กๆ ห่างจากพิพิธภัณฑ์เพียง 20 เมตร มีพระจำพรรษาอยู่เพียง 5 รูปเท่านั้น ภายในมีศาลาอเนกประสงค์ไว้ทำกิจของสงฆ์ และกุฏิร้าง ให้นักท่องเที่ยวมาชมศิลปะที่เกี่ยวข้องกับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของผู้คนอีสานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
เณรจากวัดโพธิ์ศรีมงคลเดินบิณฑบาต
ปัจจุบันทางพิพิธภัณฑ์ได้เดินหน้าจัดทำโครงการ “วาดบ้าน แปลงเมือง” วาดภาพเขียนสีตามบ้านเรือนในตรอกซอกซอยของหมู่บ้านประมาณ 50 หลังคาเรือน เพื่อให้เป็นหมู่บ้านอีสานต้นแบบภาพวาดศิลปะ เพื่อการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน อีกทั้งโครงการท่องเที่ยว 1 วันในอำเภอโซ่พิสัย สถานที่รายล้อมด้วยธรรมะและธรรมชาติมากมาย เน้นคอนเซ็ปท์การออกค้นหาความสุขทางใจในรูปแบบ ธรรมะคือธรรมชาติ
สนใจเข้าชมพิพิธภัณฑ์ฯ ฟรีได้ทุกวัน เวลา 09.00 – 17.00 น. สอบถามรายละเอียดหรือนัดหมายได้ที่ นริศรา วงศ์ภูมี โทร.086-229 7629 หรือเฟสบุ๊ค :พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จ.บึงกาฬ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง