Lifestyle

ป้องกันอันตราย...จากโรคงูสวัด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ดูแลสุขภาพ : ป้องกันอันตราย...จากโรคงูสวัด

 
                    เชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า “วาริเซลลาซอส (วี-แซด) ไวรัส” ผู้ที่ติดเชื้อนี้ครั้งแรกจะแสดงอาการของไข้สุกใส (ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในวัยเด็ก) ส่วนน้อยอาจจะไม่แสดงอาการ ดังนั้นผู้ป่วยจึงมักมีประวัติเคยเป็นไข้สุกใสมาก่อน หลังจากหายไข้สุกใสแล้วเชื้อจะหลบซ่อนแล้วแฝงตัวอยู่ใต้ปมประสาทใต้ผิวหนังเมื่อร่างกายมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำกว่าปกติ เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ช่วงที่มีความเครียดทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ โรคเอดส์ หรือโรคมะเร็งที่ได้รับยากดภูมิต้านทาน เชื้อที่แฝงตัวอยู่นั้นก็จะบ่งตัวหรือเพิ่มจำนวน และกระจายในปมประสาท ทำให้เส้นประสาทอักเสบ (เกิดอาการปวดตามแนวเส้นประสาท) เชื้อจะกระจายไปตามเส้นประสาทที่อักเสบ  และปล่อยเชื้อไวรัสออกมาสู่ผิวหนังเกิดเป็นตุ่มใสเรียงเป็นแนวยาวตามแนวเส้นประสาทคล้ายกับรูปร่างของงู จึงเรียกว่า โรคงูสวัด
 
 
 
การปฏิบัติตัวเมื่อพบว่าเป็นงูสวัด
 
 
                    1.รักษาแผลให้สะอาด ในระยะเป็นตุ่มน้ำใสที่มีอาการปวดแสบปวดร้อนให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเกลืออุ่นๆ หรือยาฆ่าเชื้อที่ไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองปิดประคบไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วทายาฆ่าเชื้อเฉพาะที่แล้วชุบเปลี่ยนใหม่ 3-4 ครั้ง ในระยะตุ่มน้ำแตกมีน้ำเหลืองไหลออกมาต้องระวังการติดเชื้อแบคทีเรียที่จะเข้าสู่แผลควรใช้น้ำเกลือสะอาดชะแผล แล้วปิดด้วยผ้ากอซสะอาด
 
                    2.ถ้าปวดแผลมากสามารถรับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล ได้
 
                    3.ไม่ควรใช้เล็บแกะเกาตุ่มงูสวัดเพราะอาจทำให้มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน กลายเป็นตุ่มหนองแผลหายช้าและกลายเป็นแผลเป็น
 
                    4.การรับประทานอาหาร สามารถรับประทานได้ทุกอย่างโดยไม่มีข้อห้าม
 
                    5.ไม่ควรเป่าหรือพ่นยาลงบนแผล เพราะจะทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน แผลหายช้าและเป็นแผลเป็น
 
 
 
ผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นงูสวัดแล้วต้องมาพบแพทย์ทันที
 
 
                    1.ผู้สูงอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
 
                    2.ผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ จากการได้ยากดภูมิต้านทาน ได้แก่ยาฆ่าเซลล์มะเร็งหรือจากการได้รับการฉายรังสี ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดของต่อมน้ำเหลืองหรือผู้ป่วยของโรคเอดส์ เป็นต้น
 
                    3.มีผื่นงูสวัดที่จมูก หรือใกล้ตา เนื่องจากมีโอกาสสูงที่จะลามเข้าตาได้ทำให้เกิดต้อกระจก ม่านตาอักเสบต้อหิน ประสาท หรือตาบอดในที่สุด 
 
                    4.มีผื่นงูสวัดที่ใบหน้า บริเวณหูด้านนอก หรือแก้วหู เพราะอาจทำให้เกิดอัมพาตใบหน้าครึ่งซีก บ้านหมุน สูญเสียการได้ยิน คลื่นไส้ เวียนศีรษะ อาเจียน
 
                    5.มีผื่นงูสวัดที่เข้าได้กับผื่นแบบแพร่กระจาย
 
                    6.มีอาการปวดรุนแรงซึ่งกระทบต่อชีวิตประจำวัน
 
 
 
งูสวัดพันตัวแล้วตายหรือไม่
 
 
                    โรคงูสวัดไม่ได้ทำให้ตาย และไม่สามารถหายได้เองในผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานปกติ โดยผื่นในโรคงูสวัดนั้นจะไม่สามารถพันตัวเราจนครบรอบเอวได้เพราะแนวเส้นประสาทของตัวเราจะมาสิ้นสุดที่บริเวณกึ่งกลางตัวเท่านั้น ดังนั้นในคนธรรมดาที่มีภูมิต้านทานปกติงูสวัดจะไม่ลุกลามเกินแนวกึ่งกลางลำตัวไปอีกซีกหนึ่งของร่างกาย ในกรณีที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น โรคเอดส์ มะเร็ง ต่อมน้ำเหลือง หรือ มะเร็งเม็ดเลือดขาว ที่ได้จากยากดภูมิต้านทานอาจะเกิดผื่นงูสวัดได้หลายกรณี ผื่นอาจจะปรากฏขึ้น 2 ข้างพร้อมกัน ทำให้ดูเหมือนงูสวัดพันรอบตัวได้ ในบางครั้งรายที่เป็นงูสวัดขั้นรุนแรงอาจเกิดงูสวัดแบบแพร่กระจายผื่นอาจจะลุกลามเข้าสู่สมองและอวัยวะภายในอื่นๆ เช่นปอดหรือตับ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
 
 
 
งูสวัดเป็นโรคติดต่อหรือไม่
 
 
                    คนที่มีภูมิคุ้มกันปกติ การสัมผัสหรือใกล้ชิดอาจไม่ทำให้ติดโรคงูสวัดเนื่องจากการติดเชื้อไวรัสจากผู้ป่วยงูสวัดนั้นยากที่จะเกิดเพราะงูสวัดจะแพร่เชื้อในระยะที่เป็นตุ่มน้ำแตก หรือสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยตุ่มน้ำโดยตรง จึงสามารถที่จะสัมผัสใกล้ชิดหรือกินข้าวร่วมกับผู้ป่วยได้ตามปกติ เว้นคนที่ยังไม่เคยเป็นโรคสุกใสมาก่อนหากสัมผัสคนที่เป็นงูสวัดก็จะได้รับเชื้อและเป็นไข้สุกใสได้ แต่ควรระวังไม่อยู่ใกล้คลุกคลีเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ ในระหว่างป่วย
 
                    แต่ในผู้ป่วยที่เป็นงูสวัดแบบแพร่กระจายอาจสามารถแพร่เชื้อได้ทางลมหายใจได้ด้วย 
 
 
 
การรักษา
 
 
                    การรักษาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวดลดไข้ เนื่องจากโรคงูสวัดสามารถหายเองได้เมื่อผู้ป่วยมีภูมิต้านทานดี โดยพักผ่อนอย่างเพียงพอ ในบางครั้งผื่นติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนเป็นหนอง การใช้ยาปฏิชีวนะแบบทาหรือรับประทาน จะมีประโยชน์สำหรับผู้สูงอายุหรืออายุมากกว่า 50 ปี ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมากหรือมีอาการปวดรุนแรงตั้งแต่แรกที่มีผื่นจำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัสแบบรับประทานร่วมด้วยคือยาอะไซโคลเวีย ครั้งละ 800 มก. วันละ 5 ครั้งทุก 4 ชั่วโมง (เว้นมื้อดึก 1 มื้อ) การให้ยาภายใน 48-72 ชั่วโมง หลังเกิดอาการจะมีประโยชน์ในการลดความรุนแรงของโรค และช่วยให้หายเร็วขึ้น รวมทั้งลดภาวะแทรกซ้อนภายหลังได้ 
 
                    ในรายที่รุนแรงแบบแพร่กระจายหรือบริเวณตาแพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัสในรูปแบบฉีดเข้าเส้นเลือดดำแทน ซึ่งผลการรักษาจะได้ประสิทธิภาพกว่ามาก และลดภาวะแทรกซ้อนอื่นตามมา
 
 
 
ภาวะแทรกซ้อน
 
 
                    ที่พบบ่อยคือ อาการปวดตามแนวประสาทหลังเป็นงูสวัดโดยเฉลี่ยพบได้ประมาณร้อยละ 10-15 ของผู้ป่วยงูสวัด พบได้ประมาณร้อยละ 50 ในผู้ป่วยที่มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป และมากกว่าร้อยละ 70 ในผู้ป่วยอายุ 70 ปีขึ้นไป โดยยิ่งอายุมากยิ่งเป็นรุนแรงและนาน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่แรก หรือเกิดขึ้นภายหลังผื่นหายหมดแล้วก็ได้ มีลักษณะปวดลึกๆ แบบปวดแสบปวดร้อนตลอดเวลา หรือปวดแปลบๆ เสียวๆ (เหมือนถูกมีดแทง) เป็นพักๆ ก็ได้ มักปวดเวลาถูกสัมผัสเพียงเบาๆ ปวดมากตอนกลางคืน หรือเวลาอากาศเปลี่ยนแปลง บางครั้งอาจรุนแรงมาก จึงต้องมาโรงพยาบาลเพื่อได้รับยาฉีดลดอาการปวดอาการปวดมักหายได้เอง (ร้อยละ 50 หายเองภายใน 3 เดือน ร้อยละ 75 จะหายเองภายใน 1 ปี) บางรายอาจปวดนานหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าขึ้นบริเวณใบหน้า 
 
 
 
 
พญ.จุฑานุช กาญจนคร
 
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง
 
และความงาม โรงพยาบาลธนบุรี 2
 
 
 
 
logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ