ข่าว

ฤา "อีช่อ-สัด-เหี้ย-ไอ้ห่า" คำด่ากักขฬะจะเต็มเมือง!

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์ทางออกนอกตำรา ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3479 หน้า  6 ระหว่างวันที่ 16-19 มิ.ย.2562 โดย... บากบั่น บุญเลิศ

ฤา “อีช่อ-สัด-เหี้ย-ไอ้ห่า”

คำด่ากักขฬะจะเต็มเมือง!

 

          ใครจะคิดอย่างไรผมไม่รู้ แต่ถึงตอนนี้ต้องบอกว่า “ฤทธิ์เดชของมือถือ โลกอะไรไม่รู้ในโซเชียลมีเดีย” ได้ทำลายพฤติกรรมแบบเดิมๆ และดีๆ ของสังคมไทยให้สูญสิ้นไปหลายอย่างไปแล้ว

          คติพจน์ที่เป็นคำสอนของบรรพบุรุษ “ให้เชื่อฟังผู้ใหญ่” “เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด” ไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะคนรุ่นใหม่ที่เติบใหญ่ขึ้นมาในสังคมปัจจุบันกว่า 10 ล้านคน และช่วงชีวิตผูกติดอยู่กับมือถือและสังคมโซเชียลมีเดียทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไลน์ ทวิตเตอร์ ไม่สนคำสอนของผู้ใหญ่เสียแล้ว 

          ใครไปสอน ไปว่า คนรุ่น gen y-gen Z ที่เกิดตั้งแต่ 1997-2010 ที่กำลังเติบโต เรียนรู้ พัฒนาตัวเอง คนยุค Millenials หรือกลุ่มคนที่เกิดตั้งแต่ปี 1980-1996 ที่อยู่ในวัยทำงานในปัจจุบัน อาจถล่มเอาได้ง่ายว่า ท่านตกยุค ล้าหลัง ไม่ทันโลก

          คำสอนในเรื่องสมบัติผู้ดี “สำเนียงส่อภาษา กิริยา ส่อสกุล” เพื่อให้คนในสังคมให้เกียรติแก่กัน ให้สังคมมีความเคารพต่อกันถูกทำลายไปสิ้น “ฟังคิด ถามเขียน”ก่อนจะทำอะไรไม่มีความหมาย...เห็นปุ๊บส่งปั๊บ เมนท์ทันทีไม่สนใจคนอื่นจะว่าอย่างไร เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพของฉัน

          ในยุคที่ข้อมูลหลั่งไหลแบบถาโถมเข้ามาในชีวิตของผู้คนเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ที่สะดวกรวดเร็ว ข้อมูลลวง หรือเฟกนิวส์ ที่หาความน่าเชื่อถือไม่ได้เลยสักนิดแต่แพร่สะพัดในสังคมอย่างรวดเร็ว ได้ถูกใช้ในการทำลายล้างใครต่อใครให้พังพาบลงได้แบบฉับพลัน

          คำพูดจาด่าทอ เสียดสี ให้ร้ายต่อกัน ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง อารมณ์แห่งความเลวร้ายกักขฬะท่วมเกลื่อนไปทั้งเมืองแทบทุกวัน...คำพูดจา เสียดสี เหี้ย ห่า สารพัดสัตว์ ยันอวัยวะเพศ ตลอดจนการสร้างวาทกรรมอีช่อ ว่อนกระจายทุกวันผ่านทางเฟซบุ๊กที่ผู้ใช้งาน 53 ล้านบัญชี ผ่านทางอินสตราแกรม 13-14 ล้านบัญชี ผ่านทางไลน์ 40 ล้านคน ทวิตเตอร์อีก 9-10 ล้านคน ไม่ว่าคุณจะดูหรือไม่ดูมันจะถาโถมมาหาคุณ

          วันก่อนหนังสือพิมพ์ เดอะ การ์เดียน ของอังกฤษ ได้เผยแพร่การเชื่อถือข้อมูลต่างๆ ในโซเชียลมีเดีย พบว่า คนไทย คนซาอุดีอาระเบีย คนอินเดีย และคนโปแลนด์ เชื่อถือข้อมูลที่ได้จากโซเชียลมีเดียมาก แตกต่างจากคนในประเทศพัฒนาแล้ว

          ผลสำรวจพบว่า ชาวอินเดียเชื่อถือข้อมูลในโซเชียลมีเดียถึง 52% ชาวซาอุดีอาระเบีย และชาวไทยเชื่อถือข้อมูลในโลกโซเชียลมีเดีย 52-53% ส่วนชาวโปแลนด์เชื่อ 51% ส่วนชาวอเมริกัน 23% เท่านั้นที่เชื่อถือข้อมูลที่ได้รับจากสื่อโซเชียล ส่วนชาวเยอรมนี 20% ชาวแคนาดา 28% ขณะที่ชาวอังกฤษ เชื่อถือข้อมูลในสื่อโซเชียลน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับ 23 ประเทศที่ถูกสุ่มสำรวจ ทำไมคนไทยจึงแตกต่างกันลิบลับกับสังคมอื่น เพราะสังคมนี้ไม่ถูกสอนให้คิด วิเคราะห์ สังเคราะห์

          เหนือกว่านั้น สังคมไทยกำลังเดินไปสู่วิกฤตของ ”ความเห็นท่วมเมือง” โดยไม่สนใจความจริง

          ในทุกวันเราจะพบพานความเห็นจากใครก็ไม่รู้เต็มไปหมด เมนต์ได้เมนต์ดี ส่งกันได้ส่งกันดี ด่ากันได้ด่ากันดีเต็มไปหมด โดยไม่เคยขบคิดว่าเขาเป็นใคร มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน เขาพูดจริงหรือไม่ ทำจริงหรือไม่ แต่ด่าทอแสดงความเห็นกันทั้งเมืองในพริบตา ไม่ว่าของจริง ของปลอม

          ผมจึงไม่แปลกใจที่การกระจายข่าวปลอมในไทย โดยผู้ไม่หวังดี ประสบผลสำเร็จอย่างมาก เพราะคนไทยที่นิยมสื่อสารในโลกโซเชียล พร้อมจะแชร์ข่าวปลอมอย่างไม่รีรอนั่นเอง

          โลกอะไรไม่รู้...ที่ผู้คนซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความเห็นที่ใช้ข้อความด่าทอที่กักขฬะ เหยียดหยาม ทำลายล้าง เกลียดชัง ไม่ให้เกียรติกันในการแสดงความไม่เห็นด้วยกับผู้อื่น ซึ่ง ซิกมันด์ ฟรอยด์ นักจิตวิทยานิยามความเกลียดชังว่า เป็นความพยายามทำลายต้นกำเนิดแห่งความไม่มีความสุข เติบโตแพร่เผ่าพันธ์อันเลวร้ายออกไปอย่างรวดเร็วทุกอณูของสังคม

          ทุกอย่างเป็นผลมาจากเทคโนโลยีมือถือ และโซเชียลมีเดียที่รุกคืบเข้ามาในชีวิตของผู้คนทั้งสิ้น!

          คำถามตัวโตๆ ที่ผู้คนในสังคม รัฐบาล กระทรวงดีอี กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และสถาบันครอบครัวต้องทำการบ้านอย่างเร่งด่วนคือ เราจะปล่อยให้สังคมแห่งความเกลียดชังเช่นนี้เติบโตในประเทศนี้โดยไร้การควบคุมหรือไม่ หรือเราจะทำอย่างไรกับมันดี

          จักควบคุมสกัดการด่าทอ การให้ร้าย การทำลายล้าง การเหยียดหยาบ การสร้างข่าวเท็จเพื่อทำลายผู้คน อย่างไรกันดี...ก่อนที่สังคมนี้จะเสื่อมทรามไปในเร็ววัน

          ถ้าไม่มีการดำเนินการ ผมว่าต่อไป นิสัยแห่งการด่าทอด้วยคำหยาบ การทำลายล้าง ความกักขฬะ จะติดตัวทายาท ลูกหลาน และผู้คนในสังคมไทยให้ทำอะไรโดยไม่สนใจผู้อื่นแน่นอน

          เพราะอะไรนะหรือ ดูข้อมูลนี่! ทีเอ็นเอสได้สำรวจพฤติกรรมของคนไทยพบว่า คนไทยใช้เวลาประจำวันในชีวิตทำอะไรนอกเหนือจากการงาน ผมเห็นข้อมูลแล้วสะดุ้ง...

          คนไทยใช้เวลาอยู่กับมือถือวันละ 3.2 ชั่วโมง ใช้เวลาเล่นออนไลน์ผ่านทางมือถือ 2.6 ชั่วโมง ใช้เวลาอยู่กับแท็บเลต 43 นาที ใช้เวลาอยู่กับคอมพิวเตอร์ 1.3 ชั่วโมง

          ใช้เวลาอ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสารวันละ 5 นาที ฟังวิทยุ 13 นาที ดูทีวีวันละ 2.30 ชั่วโมง

          เหนือกว่านั้นเขาสำรวจว่า ตื่นเช้าขึ้น มือคนไทยทำอะไร 50-60% บอกว่า ดูมือถือ เฟซบุ๊ก ดูไลน์ ดูทวิตเตอร์ ดูอินสตาแกรม...ตายแล่วๆ ผมจะเป็นลม

          ถ้าปล่อยตามกรรมตามเวรรับรองสังคมนี้ จะเต็มเปี่ยมไปด้วยการด่าทอที่หยาบคายจนเป็นปกติวิสัยแน่นอน...

          อาจมีคนเถียงว่า นั่นคือการแสดงความเห็นที่เป็นส่วนตัวบนโลกเสมือนที่ไม่เห็นตัวตน แต่เมื่อใดก็ตามที่พฤติกรรมการด่าทอกันด้วยคำหยาบ ไม่ว่า แม่ง ไอ้เหี้ย อีห่า อีสัส อีดอก ส้นตีน และลามมาถึงการทำลายผู้คนด้วยวาทกรรม “อีช่อ” ฯลฯ เป็นเรื่องปกติ รับรองว่า ความคุ้นชินจนเป็นนิสัยจะมาเยือนให้คนในครอบครัวทุกท่านประพฤติตามได้โดยง่าย

          อีกทั้งวิกฤตการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งยังไม่มีวี่แววว่าจะยุติลงในอนาคตอันใกล้นี้  “ถ้อยคำแห่งความเกลียดชัง” (Hate speech) มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ หากยังไม่มีการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม hate speech ในรูปแบบของการดูถูก การเลือกปฏิบัติ การยั่วยุให้เกิดความรุนแรง รวมถึง “การแก้ไขข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์” จะลามไปทั่ว

          ผศ.พิรงรอง รามสูต คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เคยเสนอผลงานวิจัยเรื่อง “การสื่อสารที่สร้างความเกลียดชัง” หรือ Hate Speech ในสังคมไทย พบว่า สื่อวิทยุระดับท้องถิ่นกว่า 8,000 คลื่น มีบทบาทสำคัญในฐานะตัวจุด และขยายกระแสความขัดแย้งและความเกลียดชังให้กระจายไปสู่กลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวางและเจาะกลุ่มมากขึ้น จึงสร้างผลกระทบด้านลบแก่สังคมที่แบ่งแยกขั้วทางการเมืองชัดเจน ให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น

          ขณะที่สื่อออนไลน์ มีผู้นำเนื้อหาที่มีระดับความรุนแรง และลักษณะการสื่อสารความเกลียดชังไปเผยแพร่ในวงกว้าง ที่พบมากที่สุดคือ การยั่วยุทำให้เกิดความเกลียดชังที่ส่งผลกระทบในระดับปัจเจก และหากปล่อยให้มีการสร้างและเผยแพร่ความเกลียดชังอย่างไร้การกำกับดูแล ก็อาจจะทำให้สังคมขาดสมดุลทางความคิด ทำลายวัฒนธรรมแห่งการเคารพซึ่งกันและกัน คุกคามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และที่สุดก็ส่งผลต่อภาพรวมให้คุณธรรมในสังคมหยาบกระด้าง

          ประเทศในยุโรป รวมถึง แคนาดา  แอฟริกาใต้ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย เยอรมนี ฯลฯ ได้บัญญัติให้ hate speech เป็นความผิดทางอาญา ประมวลกฎหมายอาญาของเยอรมนี มาตรา 130 (1) บัญญัติให้การหมิ่นประมาทกลุ่มของประชากรเป็นความผิดอาญาด้วย

          ไทยละควรมีหรือไม่หรือจะปล่อยให้การด่าทอ การทำลายล้างที่มุ่งสร้างความเกลียดชัง ที่ถูกบ่มเพาะออกมาในสังคมผ่านทางโซเชียลมีเดีย การฝักใฝ่ทางการเมือง การแสดงทัศนคติดูถูกคนอื่น แพร่พันธ์มาทำลายสังคมอันดีงามของไทย!

          คำตอบอยู่ที่ตัวคุณ!

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ