ข่าว

ตอบชัด สถาบันวัคซีนฯ แจงข้อเท็จจริง ปมเกิดภาวะลิ่มเลือดหลังฉีดวัคซีน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ตอบชัด สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ชี้แจงข้อเท็จจริง ปมประชาชนกังวล เกี่ยวกับการเกิด 'ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน - เกล็ดเลือดต่ำ' หลังฉีด 'วัคซีนโควิด-19'

"สถาบันวัคซีนแห่งชาติ" ชี้แจงข้อเท็จจริง เรื่อง "ภาวะลิ่มเลือด" ร่วมกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombosis with thrombocytopenia syndrome, TTS) ภายหลังการได้รับ "วัคซีนโควิด - 19" ของบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า

 

ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวในประเด็น บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ยอมรับว่า "วัคซีนโควิด - 19" ของบริษัทอาจทำให้ เกิด "ภาวะลิ่มเลือด" ร่วมกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombosis with thrombocytopenia syndrome, TTS) ซึ่งอาจทำ ให้เกิดความกังวลใจของประชาชนได้นั้น สถาบันวัคซีนแห่งชาติ รับทราบข้อกังวลดังกล่าวแล้ว และขอให้ข้อมูล ดังนี้

 

 

ขอบคุณภาพจาก Facebook : สถาบันวัคซีนแห่งชาติ

ขอบคุณภาพจาก Facebook : สถาบันวัคซีนแห่งชาติ

ขอบคุณภาพจาก Facebook : สถาบันวัคซีนแห่งชาติ

1. ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อมูลใหม่ แต่เป็นข้อมูลที่ได้รับจากการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่เมื่อเริ่มมีการใช้ "วัคซีนโควิด - 19" ชนิดไวรัสเวกเตอร์ ของ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ในวงกว้าง ซึ่งจากข้อมูลทั่วโลก พบว่า ภาวะ TTS ที่เกิดขึ้นภายหลังการได้รับ "วัคซีนโควิด -19" ชนิดไวรัสเวกเตอร์ เป็นเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่พบได้น้อยมาก

 

โดยรายงานการเกิดภาวะ TTS ภายหลังการฉีดวัคซีนส่วนใหญ่มาจากสหราชอาณาจักร (UK) และสหภาพยุโรป (EU) และจากรายงานทั่วโลกพบว่า อุบัติการณ์ของภาวะ TTS ภายหลังการฉีดวัคซีน มีความแตกต่างทางภูมิศาสตร์อย่างมาก โดยมีรายงานน้อยมากที่มาจากประเทศนอกยุโรป

 

จากข้อมูลของสหราชอาณาจักร (ณ วันที่ 14 มิถุนายน 2564) และสหภาพยุโรปคาดการณ์ว่า ความเสี่ยงในการเกิด TTS ของประชากรในภูมิภาคอยู่ที่ประมาณ 1 ราย ต่อ 100,000 ประชากร ในขณะที่ ฐานข้อมูลความปลอดภัยระดับโลกของ บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า พบว่า อัตราการรายงาน TTS ต่อประชากร 1,000,000 ราย อยู่ระหว่าง 0.2 (ในประเทศแถบเอเชียและบราซิล) ถึง 17.6 (ในกลุ่มประเทศนอร์ดิก)

 

สำหรับประเทศไทย มีการฉีด "วัคซีนโควิด - 19" ของ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ทั้งหมด 48,730,984 โดส พบผู้สงสัยหรือยืนยันภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ร่วมกับเกล็ดเลือดต่ำจำนวน 7 ราย อัตราการเกิดภาวะ TTS เท่ากับ 0.014 ต่อ 100,000 ประชากรหรือ จะพบผู้มีภาวะดังกล่าวได้ 1 ราย ในผู้ได้รับวัคซีนจำนวน 10,000,000 คน

 

 

2. ภาวะ TTS ที่เกิดขึ้นภายหลังจากการได้รับวัคซีน ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นภายใน 3-21 วันแรก หลังจากที่ได้รับ "วัคซีนโควิด - 19" ซึ่งมักพบภายหลังการฉีดวัคนเข็มแรก มากกว่าเข็มที่สอง และพบในคนอายุน้อยมากกว่า ผู้สูงอายุ ปัจจุบันยังไม่ทราบปัจจัยเสี่ยงที่เฉพาะเจาะจง

 

 

สำหรับการเกิด "ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน" ร่วมกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำโดยจากการเก็บข้อมูล พบว่าภาวะ TTS มักเกิดในผู้ป่วยที่เคยมีประวัติการเกิดลิ่มเลือดมาก่อน ผู้ป่วยที่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง รวมถึงผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากระบบภูมิคุ้มกัน

 

 

ทั้งนี้ ข้อมูลความเสี่ยงของภาวะดังกล่าว ได้ถูกเพิ่มเติมในเอกสารกำกับยาของ "วัคซีนโควิด - 19" ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า หัวข้อ "คำเตือนพิเศษ และข้อควรระวังในการใช้ยา" ตั้งแต่ วันที่ 8 กันยายน 2564 ภายหลังจากที่มีข้อมูลภายหลังการใช้วัคซีนในวงกว้างมากขึ้น ทำให้หลังจากนั้นสามารถติดตามเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าว ที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการฉีดวัคซีน และสามารถให้การรักษาภาวะดังกล่าวได้อย่างเหมาะสม

 

 

3. ความเสี่ยงของการเกิดภาวะ TTS ภายหลังจากการป่วยด้วยโควิด-19 สูงกว่าความเสี่ยงที่เกิด จากการได้ รับ "วัคซีนโควิด - 19" หลายเท่า จากการเก็บข้อมูลในอังกฤษ (England) ซึ่งมีประชาชนจำนวน 19,608,008 คน ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ของ บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า เป็นโดสแรก กับกลุ่มประชาชนที่มีผลบวกใน การตรวจการติดเชื้อ SARS CoV-2 จำนวน 1,758,095 คน ในการศึกษา สามารถวิเคราะห์ข้อมูลอัตราเสี่ยงของการ เกิดภาวะต่างๆ ในช่วง 8-14 วัน หลังได้รับวัคซีน ซึ่งเป็นช่วงที่มีรายงานอุบัติการณ์สูงสุดได้ ดังนี้

 

ขอบคุณภาพจาก Facebook : สถาบันวัคซีนแห่งชาติ

 

4. องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกเอกสารคำแนะนำ สำหรับการใช้ "วัคซีนโควิด - 19" ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 และได้มีการปรับคำแนะนำอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ เมื่อมีข้อมูลภายหลังการใช้ที่มากขึ้น โดยมีการปรับปรุงคำแนะนำล่าสุด เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 มีใจความสำคัญเกี่ยวกับประเด็นภาวะ TTS ที่เกิดภายหลังการได้รับวัคซีนโควิด-19 ชนิดไวรัสเวกเตอร์ ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ดังนี้

 

 

ในประเทศที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ประโยชน์ของการฉีดวัคซีนป้องกันโรค มีมากกว่าความเสี่ยงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การประเมินประโยชน์และความเสี่ยงอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ

 

 

ทั้งนี้ แต่ละประเทศควรพิจารณาสถานการณ์ทางระบาดวิทยา ความเสี่ยงในระดับบุคคลและประชากร ความพร้อมของวัคซีนชนิดอื่นๆ และทางเลือกสำหรับการลดความเสี่ยง

 

 

5. ปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้มีการฉีด "วัคซีนโควิด - 19" ชนิดไวรัสเวกเตอร์ ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า แล้วเมื่อพิจารณาจากข้อมูลข้างต้น พบว่าความเสี่ยงของการเกิดภาวะ TTS ที่เป็นผลมาจากการป่วยด้วยโควิด-19 มีอุบัติการณ์สูงกว่า ภายหลังการฉีด "วัคซีนโควิด - 19" ชนิดไวรัสเวกเตอร์ ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า อย่างมากและทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย มีระบบกำกับดูแลความปลอดภัยของการใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีน มากกว่าความเสี่ยงที่ได้รับอย่างดีที่สุด

 

 

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงภายหลังจากการได้รับวัคซีนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่จะมีการควบคุมให้มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยที่สุด ก่อนการพิจารณาอนุญาตให้ใช้วัคซีนในวงกว้าง ขอให้ประชาชนคลายความกังวลใจ ทั้งนี้ หากมีข้อมูลเพิ่มเติม สถาบันวัคซีนแห่งชาติจะทำการอัปเดตข้อมูลให้ท่านทราบเป็นระยะ

 

 

ข้อมูลอ้างอิงจาก : สถาบันวัคซีนแห่งชาติ

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ