ปักกิ่งฮึ่มคงไม่ทำแค่มองดู หากสหรัฐประจำการระบบขีปนาวุธในย่านนี้ หลังสนธิสัญญาคุมอาวุธจากยุคสงครามเย็นล่มสลาย
นายฝุ กง ผู้อำนวยการฝ่ายควบคุมอาวุธ กระทรวงต่างประเทศจีน แถลงวันนี้ ( 6 ส.ค.) ว่า จีนจะไม่นิ่งเฉย และจำต้องดำเนินมาตรการทัดทานอย่างแน่นอน หากสหรัฐเดินหน้าติดตั้งประจำการระบบขีปนาวุธในส่วนใดส่วนหนึ่งของภูมิภาคนี้
พร้อมกันนี้ จีนขอเรียกร้องประเทศเพื่อนบ้าน ใคร่ครวญอย่างรอบคอบ และไม่ยินยอมให้สหรัฐประจำการขีปนาวุธพิสัยใกล้ในดินแดนของตน พร้อมเอ่ยชื่อเพื่อนบ้านอย่างออสเตรเลีย เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ในการเตือนว่า การเห็นดีเห็นงามกับสหรัฐ ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของประเทศ
อย่างไรก็ดี ออสเตรเลียปฏิเสธเรื่องนี้แล้ว
ถ้อยแถลงจากกระทรวงต่างประเทศจีนมีขึ้นหลังจาก นายมาร์ค เอสเปอร์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ กล่าวเมื่อสุดสัปดาห์ขณะเริ่มเยือนเอเชีย 1 สัปดาห์ว่า สหรัฐมีอิสระเสรีในการประจำการขีปนาวุธ หลังจากถอนตัวจากสนธิสัญญากองกำลังนิวเคลียร์พิสัยใกล้ (ไอเอ็นเอฟ ) กับรัสเซียแล้ว และหวังจะประจำการขีปนาวุธในภูมิภาคนี้ ซึ่งตัวเขาเองอยากให้เกิดขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่เรื่องแบบนี้มักใช้เวลานานกว่าที่คาด
เอสเปอร์ ไม่ได้ระบุชัดเจนว่ามีแผนจะติดตั้งขีปนาวุธที่ไหน แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดสถานที่ที่น่าจะเป็น ก็คือ เกาะกวม ที่ตั้งทางทหารสำคัญของสหรัฐอเมริกา
ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ลงนามสนธิสัญญาไอเอ็นเอฟ กับ มิคาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียตในปี 2530 เป็นความตกลงเรื่องจำกัดการใช้ขีปนาวุธนิวเคลียร์และอาวุธตามแบบ ที่มีพิสัย 500-5,000 ก.ม. และถูกมองว่าเป็นเสาหลักของระบบควบคุมอาวุธของโลกมาเป็นเวลาหลายสิบปี กระทั่งมาถึงยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ตัดสินใจถอนตัวเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยกล่าวหารัสเซียว่าละเมิดข้อตกลงเสมอมา และอ้างข้อตกลงนี้กลายเป็นการเปิดโอกาสให้ประเทศอื่นๆ รวมถึงจีน พัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลของตัวเองได้อย่างเสรี
สหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน ประเมินว่าจีนมีหัวรบนิวเคลียร์ 290 ลูก รัสเซียมี 1,600 ลูก สหรัฐอเมริกา 1,750 ลูก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง