ราคาน้ำมันดิบพุ่งทะยานแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน หลังรัฐบาลสหรัฐประกาศเลิกผ่อนผันพันธมิตรซื้อน้ำมันอิหร่าน
ทำเนียบขาวประกาศเมื่อวานตามเวลาท้องถิ่น ( 22 เม.ย.) ว่าสหรัฐจะยุติการละเว้นมาตรการลงโทษประเทศที่ซื้อน้ำมันอิหร่านหลังพ้นช่วงผ่อนผัน 6 เดือน ซึ่งหมายความว่านับตั้งแต่พฤษภาคมนี้ จีน อินเดีย ตุรกี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน อิตาลีและกรีซ จะต้องเผชิญมาตรการแซงชั่นจากสหรัฐหากยังนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านอยู่ต่อไป
แถลงการณ์ระบุว่า รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และพันธมิตร มุ่งมั่นเพิ่มแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่ออิหร่าน เพื่อยุติรัฐบาลเตหะรานบั่นทอนเสถียรภาพคุกคามสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร ในตะวันออกกลาง
ปีที่แล้ว สหรัฐประกาศมาตรการแซงชั่นฝ่ายเดียว ห้ามทั่วโลกนำเข้าน้ำมันอิหร่าน แต่ให้เวลา 6 เดือนแก่ 8 ประเทศในการเตรียมตัว
ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ยืนยันว่าสหรัฐจะลงโทษประเทศที่ซื้อน้ำมันอิหร่านหลังวันที่ 2 พฤษภาคม “เราชัดเจน หากท่านไม่ทำตาม จะมีมาตรการแซงชัน”ปอมเปโอกล่าวแต่ก็ไม่ขยายความว่ามาตรการที่ว่านี้คืออะไร
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ปิดที่ 65.70 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2.7% รับข่าวตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับอิหร่านรอบใหม่ทันที ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่าซาอุดีอาระเบียจะผลิตน้ำมันมาเติมส่วนที่หายไป ขณะนักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลาดกำลังประเมินว่าน้ำมันดิบจะได้รับผลกระทบอย่างไร
จีนและตุรกี แสดงท่าทีชัดเจนไม่ยอมรับมาตรการแซงชั่นฝ่ายเดียวของสหรัฐ ส่วนอินเดียซึ่งเป็นผู้ซื้อน้ำมันอิหร่านรายใหญ่ และมีสัมพันธ์ที่ดีกับวอชิงตัน แต่ไม่เห็นด้วยกับสหรัฐที่ว่าอิหร่านเป็นภัยคุกคาม ระบุว่ารัฐบาลกำลังศึกษาผลกระทบ ขณะที่กระทรวงต่างประเทศเกาหลีใต้ ระบุในแถลงการณ์ว่าจะหารือกับสหรัฐอเมริกาและพยายามอย่างเต็มทีก่อนถึงเส้นตายสัปดาห์หน้า
อิหร่านมีรายได้จากส่งออกน้ำมัน 5.27 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2560 ก่อนสหรัฐกลับมาแซงชันรอบใหม่ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเป็นไปได้ยากที่สหรัฐจะกดอิหร่านจนส่งออกน้ำมันไม่ได้เลย เพราะตลาดมือยังมีอยู่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง