กระทรวงเกษตรสหรัฐยุติใช้แมวเพื่อการวิจัยหลังกำจัดหลายพันตัว

กระทรวงเกษตรสหรัฐระบุว่า การใช้แมว ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบการวิจัยของสำนักงานวิจัยเพื่อการเกษตร (เออาร์เอส) จะไม่มีอีกต่อไปและจะไม่ถูกนำกลับมาใช้อีก ส่วนแมวที่เหลือ 14 ตัว จะมีเจ้าหน้าที่กระทรวงรับไปเลี้ยง 

การตัดสินใจของกระทรวงเกษตรฯ มีขึ้นหลังจากโครงการ ไวท์ โคท เวสต์ กลุ่มเคลื่อนไหวยุติการถลุงภาษีเพื่อการทดลองกับสัตว์อย่างไร้ประโยชน์ เปิดเผยรายงานเมื่อปีที่แล้วในชื่อ “โรงฆ่าแมว” ว่า ห้องแลบในเมืองเบลท์สวิลล์ ใกล้กับวอชิงตัน ใช้แมวและลูกแมว เพื่อการศึกษาพยาธิ “ท็อกโซพลาสมา กอนดิไอ” ที่อาจทำให้คนเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อที่มากับอาหาร  ที่เรียกว่า ทอกโซพลาสมาซิส อันตรายมากต่อตัวอ่อนในครรภ์มารดา เด็กและผู้มีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ

เหตุที่ต้องใช้แมว เพราะเป็นโฮสต์ที่ปรสิตมีวงจรชีวิตสมบูรณ์จนถึงวางไข่ 

ทีมวิจัยซื้อแมวจากตลาดเอเชีย ก่อนนำเนื้อไปให้แมวสุขภาพดีกิน เพื่อให้พยาธิวางไข่ และนำไข่ที่ได้ไปใช้ทดลอง จากนั้น 3 สัปดาห์ นักวิจัยก็จะการุณยฆาตแมว แม้พวกมันยังมีสุขภาพดีอยู่ ผลทำให้นับจากปี 2525 เป็นต้นมา แมวและลูกแมวถูกกำจัดอย่างน้อย 3,000 ตัว รายงานระบุว่าโครงการวิจัยนี้ไม่ได้ปิดลับ แต่หลุดรอดจากการรับรู้ของสาธารณชน  

รายงานอีกฉบับของ ไวท์ โคท เวสต์ ที่เผยแพร่เมื่อเดือนที่แล้ว ยังเผยเพิ่มเติมว่า เป็นเวลา 10 ปีสิ้นสุดที่ปี 2558 กระทรวงเกษตรซื้อแมวและสุนัขตายแล้วหลายร้อยตัวในจีน เวียดนาม เอธิโอเปีย โคลอมเบียและอีกหลายประเทศ เพื่อนำเนื้อไปให้แมวและสัตว์อื่นๆกินเพื่อทำการทดลอง   

 

 

น้อยครั้งมากที่จะเห็นส.ส.เดโมแครตและรีพับลิกัน มีความเห็นไปในทางเดียวกันในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง และได้เข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายที่เรียกว่า กฎหมายลูกแมว เพื่อปิดฉากโครงการอื้อฉาว เมื่อปีที่แล้ว  

อย่างไรก็ดี กระทรวงย้ำว่าการวิจัยนี้มีส่วนช่วยลดอัตราติดเชื้อจากพยาธิ ที่เป็นอันตรายต่อสตรีมีครรภ์และอาจถึงแก่ชีวิตได้ ลงถึงครึ่งหนึ่ง 

ชาวอเมริกันราว 4 ล้านคน มักติดเชื้อจากพยาธิชนิดนี้โดยไม่แสดงอาการ หนทางดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงคือการปรุงเนื้อจนสุกและล้างมือให้สะอาดหลังทำสวนหรือเก็บอุจจาระแมว