ตำรวจอินโดนีเซียเผยแพร่ภาพครอบครัวก่อการร้าย ที่ก่อเหตุโจมตีโบสถ์คริสต์ 3 แห่ง ในเมืองสุราบายา มารดากลายเป็นมือระเบิดฆ่าตัวตายหญิงคนแรกของประเทศ
ตำรวจอินโดนีเซีย เผยภาพแรกของสมาชิก 6 คนของครอบครัวผู้ก่อการร้าย ที่ก่อเหตุระเบิดโจมตีโบสถ์คริสต์ 3 แห่ง ในเมืองสุราบายา เมืองใหญ่ที่สุดและคับคั่งที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศในจังหวัดชวาตะวันออก เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 13 คน บาดเจ็บ 41 คน ในจำนวนนี้ มีตำรวจรักษาความปลอดภัยที่โบสถ์รวมอยู่ด้วย 2 นาย
ซึ่งหนึ่งในผู้ก่อเหตุคือ "นางปูจิ คุสวาตี" ที่กลายเป็นมือระเบิดฆ่าตัวตายหญิงคนแรกของประเทศ ซึ่งจากข้อมูลบนสื่อสังคมออนไลน์พบว่า เธอมีผู้ติดตามในเฟซบุ๊ค 268 คน ชอบโพสต์ภาพลำธาร ชายหาด ล่องแก่ง ป่าโกงกาง นาข้าวที่บ้านเกิด และสัตว์เลี้ยงที่มีทั้งสุนัขและแมว
การโจมตีครั้งแรกเกิดขึ้นโดยฝีมือของลูกชายวัย 17 ปี กับ 15 ปี ที่ขี่รถจักรยานยนต์พุ่งเขาไปในโบสถ์ซานตามาเรีย ก่อนจุดระเบิดที่วางอยู่บนตัก
ตามด้วยนางคุสวาตีวัย 46 ปี กับลูกสาว 2 คน วัย 9 ปี และ 12 ปี สวมนิกอบ ปิดบังใบหน้าและผม คาดเข็มขัดระเบิดไว้ที่เอว เดินเข้าไปในโบสถ์คริสเทน อินโดนีเซีย ดิโปเนโกโร ก่อนจุดชนวนระเบิด
จากนั้น นายดิตา ปริยันโต ผู้เป็นพ่อ ที่ถูกระบุว่า เป็นหัวหน้าหน่วยของกลุ่มหัวรุนแรง "จามาอะห์ อันซารุด เดาเลาะห์" หรือ เจเอดี ขับรถยนต์ติดระเบิดพุ่งชนประตูโบสถ์สุราบายา เซนเตอร์ เพนเทคอสต์ สะเทือนขวัญปิดท้าย
ที่จริงยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดวางแผนโจมตีโบสถ์ที่ 4 คือ โบสถ์คาธีดรัล แต่ตำรวจจับผู้ต้องสงสัยได้เสียก่อน ซึ่งขณะนี้ตำรวจกำลังตามล่าหาตัวผู้เกี่ยวข้องที่เหลือ รวมทั้งผู้จัดหาระเบิดให้ครอบครัวนี้ด้วย
จากการตรวจสอบเฟซบุ๊กของนางปูจิ พบว่า มีภาพเธอกับลูกๆ เพียงภาพเดียว ที่ถ่ายหลังเสร็จจากการล่องแพ ไม่มีภาพสามี ซึ่งจบมัธยมปลายและยึดอาชีพขายของ แต่เธอหยุดเล่นเฟซบุ๊กไปราว 3 ปีครึ่ง
ภาพสุดท้ายเป็นรูปแมวที่เลี้ยงไว้ โพสต์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ปี 2557 และลงข้อมูลส่วนตัวไว้ว่าเคยทำงานที่ "อัซซัม คอร์ป" เมื่อตรวจสอบพบว่า นายจ้างของเธอคือนายโรฮิม บินไช ผู้มีมีแนวคิดสุดโต่ง และโพสต์เฟซบุ๊คครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 16 เมษายน ปี 2554
หลังการตรวจค้นบ้านของครอบครัวนี้ ตำรวจยังพบว่า พวกเขาเคยไปฝึกยิงธนู แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด แต่เชื่อว่า พวกเขาเป็นเซลหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่เงียบๆของกลุ่มเจเอดี ที่รอเวลาลงมือ ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ครอบครัวนี้เคยไปซีเรีย เช่นเดียวกับชาวอินโดนีเซียอีกหลายร้อยคนหลั่งไหลเข้าไปร่วมสู้รบกับพวกไอเอส
ข่าวโดย NationTV
ข่าวที่เกี่ยวข้อง