5 เหตุผลที่สหรัฐไม่อาจถล่มเกาหลีเหนืออย่างที่ทำกับซีเรีย
คำว่า “สงครามโลกครั้งที่ 3” กลายเป็นคำสำคัญที่ใช้สืบค้นบนเวบไซต์กูเกิลมากติดอันดับต้นๆอย่างไม่น่าเชื่อ ขณะที่คนในบ้านเราก็ให้ความสนใจกับสถานการณ์อึมครึมบนคาบสมุทรเกาหลีอย่างมาก ระทึกกันแทบจะรายวันกับข่าวจริงและข่าวลือทางสื่อสังคมออนไลน์ นับจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ถล่มเกาหลีเหนือฝ่ายเดียวไม่ง้อจีนหากไม่สามารถสกัดอีกฝ่ายพัฒนานิวเคลียร์ และสำทับเรื่อยๆต่อว่า ทางเลือกทางทหารยังอยู่บนโต๊ะ
เมื่อสหรัฐระดมยิงโทมาฮอว์คหลายสิบลูกถล่มซีเรียแบบไม่ปี่มีขลุ่ย ทันทีที่ฟันธงว่าผู้นำซีเรียใช้อาวุธแก๊สพิษกับชาวบ้าน แสดงถึงความเด็ดขาด หรือบ้าคลั่งของทรัมป์ แล้วแต่จะมอง ตามด้วยข่าวการส่งกลุ่มเรือจู่โจมนำโดยเรือบรรทุกเครื่องบิน คาร์ล วินสัน มาลอยลำใกล้ๆ (แต่ถึงตอนนี้ยังอยู่อีกไกลหลายพันไมล์ ) เมื่อนำมาผสมเข้าด้วยกันแล้ว กลายเป็นความตื่นตูมว่า สงครามคงจะปะทุเร็วๆนี้ ทั้งที่คนอยู่ใกล้อย่างชาวเกาหลีใต้ไม่ได้ตื่นตระหนก ไม่มีการกักตุนของกินของใช้ ดำเนินชีวิตไปตามปกติ ด้วยอาจชินแล้วกับสถานการณ์ขู่กันไปขู่กันมา และเพราะยังมีหลายเหตุผลที่เชื่อว่าสหรัฐจะไม่ถล่มโสมแดงเหมือนกับที่ทำกับซีเรีย
1. ข้อแรก เพราะเกาหลีเหนือไม่ใช่ซีเรีย
ปฏิบัติการทางทหารกับดินแดนฤาษีแห่งนี้ จะมีความเสี่ยงมหาศาลยิ่งกว่า ในทางเทคนิค คาบสมุทรเกาหลียังอยู่ในภาวะสงคราม การสู้รบยุติลงเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2496 ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงที่รัฐบาลวอชิงตันกับรัฐบาลปักกิ่งลงนาม หากสหรัฐเริ่มโจมตีก่อน ก็จะถือเป็นการละเมิดข้อตกลงที่สหประชาชาติรับรองทันที
2. โสมแดงมีนิวเคลียร์
เป็นความแตกต่างอย่างสำคัญที่สุดระหว่างสองประเทศนี้ แม้เชื่อกันว่าซีเรียเป็นประเทศหนึ่งที่แสวงหาอาวุธนิวเคลียร์ แต่ศักยภาพด้านนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนืออยู่ตัวแล้วในช่วงสองสามปีมานี้ เปียงยางทดลองระเบิดนิวเคลียร์มาแล้ว 5 ครั้ง และอ้างว่าประสบความสำเร็จในการย่อหัวรบนิวเคลียร์ได้แล้ว แม้ว่ายังไม่มีการยืนยันจากแหล่งข่าวอิสระ กระนั้น ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงทหาร เชื่อว่า ความที่เกาหลีเหนือเรียนรู้จากความผิดพลาดและล้มเหลวหลายๆครั้ง ไม่ควรประมาทว่าโสมแดงอาจพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีปติดหัวรบได้ในระดับหนึ่ง และอาจจะสามารถยิงไปไกลถึงสหรัฐอเมริกาได้ในระยะ 4 ปี หรือในยุคสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์
( สะพานมิตรภาพ ข้ามแม่น้ำยาลู เชื่อมเมืองตันตง ของจีน กับเมืองซินุยจู / AFP )
3. ย้ำ!! จีนเป็นพันธมิตรของเกาหลีเหนือ และต้องอยู่ข้างเกาหลีเหนือหากสหรัฐโจมตี
ในปี 2504 สองประเทศลงนามสนธิสัญญาจีน-เกาหลีเหนือว่าด้วยความร่วมมือมิตรภาพและความช่วยเหลือร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่ายมีพันธกรณีที่จะต้องให้ความช่วยเหลือทางทหารและอื่นๆแก่อีกฝ่ายทันทีกรณีถูกประเทศอื่นโจมตี สนธิสัญญาฉบับนี้ได้รับการต่ออายุมาสองครั้งแล้ว และหลังสุดคือมีผลไปจนถึงปี 2564
4. นอกจากมีสัญญากันแล้ว จีนยังห่วงสถานการณ์ชายแดนมณฑลที่ติดกับเพื่อนบ้าน
จีนยืนกรานสถานเดียวให้สหรัฐหาทางออกอย่างสันติวิธี เพราะหากระบอบคิมมีอันเป็นไป ชาวเกาหลีเหนือจะทะลักเข้าบ้านอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้ ในมุมทางภูมิศาสตร์การเมือง รัฐบาลปักกิ่งถือว่า เกาหลีเหนือคือเขตกันชนจากการรุกล้ำของประเทศที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐ รวมถึงเกาหลีใต้และญี่ปุ่น
5. จีนไม่ใช่ประเทศเดียวที่ต่อต้านการถล่มเปียงยาง
เกาหลีใต้และญี่ปุ่น สองพันธมิตรสหรัฐ ก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับการใช้กำลัง ทั้งนี้ กรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ อยู่ห่างจากชายแดนแค่ 40 กิโลเมตร เสี่ยงต่อการถูกเกาหลีเหนือตอบโต้อย่างยิ่ง แซม การ์ดีเนอร์ อดีตนายทหารเกษียณของสหรัฐ ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร ดิ แอตแลนติก เมื่อไม่นานนี้ว่า สหรัฐไม่สามารถปกป้องกรุงโซลได้อย่างน้อยใน 24 ชั่วโมง หรืออาจจะ 48 ชั่วโมงแรกด้วยซ้ำ อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตันแห่งสหรัฐ เคยถกอย่างจริงจังถึงแผนถล่มเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ยองพยอง ของเกาหลีเหนือเมื่อปี 2537 มาก่อนแล้ว ที่สุดก็เชื่อตามทีมที่ปรึกษาว่า การสู้รบกับเกาหลีเหนือ จะดุเดือดเลือดพล่านที่สุดนับจากโลกเคยประจักษ์สงครามเกาหลีครั้งหลังสุด
ที่มา Koreatimes / South China Morning Post
ข่าวที่เกี่ยวข้อง