ข่าว

รัสปูตินแห่งทำเนียบขาว

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เปิดโลกวันอาทิตย์ โดย บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์

 

    เกิดอลวนอลเวงอลหม่าน หรือจะเรียกว่ากลียุคขนาดย่อม ขึ้นทั่วทั้งแดนดินถิ่นอินทรียุคผลัดแผ่นดินใหม่ แถมยังลามไปอีกหลายสิบประเทศ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สร้างสถิติใหม่เป็นผู้นำที่สามารถสร้างศัตรูสิบทิศในชั่วข้ามคืน ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษติดๆ กันหลายฉบับในช่วงสัปดาห์แรกที่เข้าไปทำเนียบขาว ตั้งแต่ไฟเขียวให้สร้างกำแพงตรงชายแดนที่อยู่ติดกับเม็กซิโก ไปจนถึงคำสั่งพิเศษให้ระงับการออกวีซ่าให้มุสลิมจาก 7 ประเทศ ได้แก่ ซีเรีย อิรัก อิหร่าน ซูดาน ลิเบีย โซมาเลีย และเยเมน เป็นเวลา 90 วัน ระงับโครงการรับผู้ลี้ภัยจากซีเรียโดยไม่มีเวลากำหนด ตลอดจนปิดประเทศไม่ต้อนรับผู้อพยพยอีก 120 วัน
        ทุกคนเชื่อว่าทรัมป์บ้าระห่ำทำจริงตามที่เคยให้สัญญาไว้ระหว่างหาเสียง อย่างไรก็ดี หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ส และเดลี่ นิวส์ อ้างแหล่งข่าววงในหน่วยข่าวกรองที่ไม่กล้าเปิดเผยชื่อยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นแค่ประธานาธิบดีหุ่น มีหน้าที่แค่เซ็นชื่อในคำสั่งพิเศษที่จัดเตรียมไว้เสร็จสรรพแล้วเท่านั้น แต่ประธานาธิบดีเงาที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งเหล่านี้ถึงขนาดเป็นคนร่างคำสั่งพิเศษของประธานาธิบดีเองด้วยซ้ำไป ก็คือ สตีฟ แบนนอน ที่เข้าไปคุมทำเนียบอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในฐานะที่ปรึกษาอาวุโสประจำทำเนียบขาว 
        ถ้าเป็นรัสเซียก็ต้องเรียกว่า รัสปูตินตัวจริงแห่งอเมริกา

 

รัสปูตินแห่งทำเนียบขาว

 

อ่านต่อ ..สตีฟ แบนนอน ยอดกุนซือขวานิยม ของโดนัลด์ ทรัมป์


 

       สตีฟ แบนนอน ผู้นำเงาแห่งทำเนียบขาว ก็คือเจ้าของเว็บไซต์เบรตบาร์ท นิวส์ ของกลุ่มชาตินิยมขวาตกขอบและคลั่งผิวขาว อดีตเคยเป็นนักวางแผนหาเสียงให้แก่ทรัมป์ ด้วยวิธีสร้างข่าวลือทำลายคะแนนนิยมของฮิลลารี คลินตัน รวมถึงอีเมลฉาว เป็นคนหลุดโลกที่เป็นผู้นำขวาจัด แต่บอกว่าตัวเองเป็นเลนินิสต์ เป็นคนที่มองสื่อเป็นศัตรู ด้วยการตราหน้าสื่อว่าเป็นพรรคฝ่ายค้าน 
        เมื่อเร็วๆ นี้ได้ให้สัมภาษณ์นิวยอร์ก ไทม์ส สอนสื่อให้รู้จักปิดปากตัวเองแล้วหัดฟังเงียบๆ จะได้เข้าใจสภาพเป็นจริงของประเทศนี้ว่าเป็นอย่างไร รวมทั้งทำไมทรัมป์ถึงได้เป็นประธานาธิบดี

        เพื่อจะสกัดข้อครหาด้านกฎหมาย เมื่อวันเสาร์ปลายเดือนมกราคม ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษอีกฉบับหนึ่ง (ซึ่งแบนนอนคงเป็นคนร่างให้อีกตามเคย) แต่งตั้งแบนนอนเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิประจำสภาความมั่นคงแห่งชาติ (เอสเอ็นซี) อย่างเป็นทางการ ทั้งๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ด้านการต่างประเทศหรือทหารมาก่อน แต่กลับมีอำนาจล้นฟ้าเหนือรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เหนือประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม และเหนือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเกือบจะทุกคน ว่ากันว่าบทบาทใหม่ของแบนนอนถือเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

รัสปูตินแห่งทำเนียบขาว

( อยู่กับทรัมป์ ขณะต่อสายคุยนายกรัฐมนตรีมัลคอล์ม เทิร์นบูลของออสเตรเลีย เมื่อ 28 ม.ค. ) 


  

      ในคำสั่งพิเศษฉบับเดียวกันนี้ ยังได้สั่งย้ายและลดอำนาจของประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม, ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติและรัฐมนตรีพลังงาน แต่ไม่ระบุว่าให้ไปประจำการในตำแหน่งใหม่ที่ใด เพียงแต่บอกกล่าวให้ทราบว่าทั้งสามคนจะมีสิทธิร่วมประชุมเฉพาะกรรมการชุดที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ตัวเองรับผิดชอบเท่านั้น ไม่ต้องเข้าร่วมการประชุมทุกชุดเหมือนก่อน
        ตอนนี้ก็มีคำถามใหม่ขึ้นมาอีกว่า อดีตพลโทนอกราชการไมเคิล ฟลินน์ ที่ทรัมป์ตั้งเป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาตินั้น เหมาะที่จะนั่งเก้าอี้ตัวนี้หรือไม่ เพราะไม่มีใครทราบว่าเขาจะมีบทบาทอะไร มีสิทธิมีเสียงในที่ประชุมมากแค่ไหน หรือแค่เป็นหุ่นอีกตัวหนึ่งของแบนนอน
        การยึดอำนาจของแบนนอนในสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำให้หลายคนอดวิตกไม่ได้ว่าจะเปิดช่องให้พลเรือนเข้าไปแทรกแซงกิจการทางทหาร สมัยอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช สั่งห้ามคาร์ล โรฟ นักวางแผนยุทธศาสตร์การเมืองเข้าร่วมประชุมเอสเอ็นซี ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อถือคำแนะนำหรือไม่เชื่อในฝีมือของโรฟ แต่ต้องการส่งสัญญาณถึงทุกคนว่า ตัวเองได้ขีดเส้นแบ่งเขตระหว่างความมั่นคงแห่งชาติกับการเมืองภายในประเทศ โดยบุชได้พูดชัดว่า "การตัดสินใจใดๆ ของผมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความเป็นความตายของคนในเครื่องแบบจะต้องไม่ถูกแทรกแซงใดๆ จากการตัดสินใจทาการเมือง”

 

รัสปูตินแห่งทำเนียบขาว

นิตยสารไทม์ ขึ้นปก สตีฟ แบนนอน ฉบับล่าสุด หลังถูกมองว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลตัวจริง


  

      ขณะที่อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามาเองก็เดินตามรอย ด้วยการห้ามจอห์น โอเดสตา และเดวิด อาเซลริด นักวางแผนยุทธศาสตร์การเมืองเข้าร่วมการประชุมของเอสเอ็นซีเช่นกัน ยกเว้นในกรณีที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์อิรักและอัฟกานิสถาน
        โรเบิร์ต เกตส์ อดีตรัฐมนตรีกลาโหมในสมัยบุชและโอบามา ให้ความเห็นผ่านเอบีซี นิวส์ว่า การย้ายประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมและผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองไปนั่งข้างเวที ถือเป็น "ความผิดพลาดครั้งใหญ่” เพราะประธานาธิบดีทุกคนจะได้ประโยชน์จากประสบการณ์ การตัดสินและมุมมองของพวกเขาเหล่านี้
        แหล่งข่าวลับสุดยอดพอๆ กับแหล่งข่าวที่เปิดโปง "เอกสารลับเพนตากอน” ในสมัยอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เผยว่า แม้กระทั่งก่อนหน้าที่จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิประจำเอสเอ็นซี แบนนอนได้จัดการทุกอย่างโดยไม่เสนอต่อที่ประชุมเอสเอ็นซีก่อน "เขากำลังซ่องสุมกลุ่มลับๆ คล้ายกับเป็นสภาเงาของเอสเอ็นซีอีกทีหนึ่ง" 
        บรรยากาศการประชุมลับเหมือนกับการสุมหัวของกลุ่มคนที่มีแนวคิดแบบเดียวกัน แทบจะไม่มีใครมีความเห็นเป็นอื่น ที่สำคัญก็คือ ไม่มีเอกสารใดๆ ให้สืบสาวได้ว่ามีการหารือในเรื่องใดและเห็นด้วยในเรื่องใด ไม่มีการแนะแนวหรือการแนะนำจากเบื้องสูงว่าเอสเอ็นซีควรจะทำอย่างไร จากปกติที่เอสเอ็นซีจะถกกันอย่างตรงไปตรงมาทั้งข้อดี ข้อเสีย และความเห็นหลากหลาย ก่อนจะร่วมกันหาข้อสรุปเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ

 

รัสปูตินแห่งทำเนียบขาว

       ( สามกุนซือของทรัมป์ (ซ้ายไปขวา) เคลลีแอนน์ คอนเวย์ ที่ปรึกษาประธานาธิบดี จาเร็ด คุชเนอร์ ที่ปรึกษาอาวุโสและลูกเขย และหัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ สตีฟ แบนนอน ภาพ AFP ) 


        แหล่งข่าวลับสุดยอดเปิดเผยว่า ทำเนียบขาวในขณะนี้มาสภาพคล้ายกับ ม้า 2 หัวร่วมกันบริหารประเทศอยู่เบื้องหลัง ตัวหนึ่งคือ สตีฟ แบนนอน อีกตัวหนึ่งก็คือ สตีเฟน มิลเลอร์ ที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายนโยบายของทำเนียบขาว อดีตคนสนิทของ ส.ว.เจฟฟ์ เซสซันส์ ที่ทรัมป์เสนอเป็นรัฐมนตรียุติธรรมในฐานะสายเหยี่ยวด้วยกัน
        “พวกเขารวมหัวกันใช้อำนาจพิเศษของประธานาธิบดี ซึ่งไม่อยู่ในกระบวนการบริหารตามปกติ และเป็นคนร่างคำสั่งพิเศษเหล่านั้นเองตั้งแต่เรื่องผู้อพยพจากเม็กซิโกไปจนถึงการฟื้นคุกลับของซีไอเอขึ้นมาอีก”
        อีกสิ่งหนึ่งที่อาจถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ตามมาก็คือ ไม่สามารถสืบสาวหาบันทึกเอกสารว่าด้วยการประชุม การหารือและการตัดสินใจสุดท้ายของเอสเอ็นซี หรือเรียกว่า "เอกสารสรุปผลการประชุม” (เอสโอซี)
        “ในสมัยประธานาธิบดีจอห์จ ดับเบิลยู บุช เอสเอ็นซีจะค่อนข้างเข้มงวดมากเกี่ยวกับบันทึกผลการประชุม” แมทธิว แวกซ์แมน ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งเคยอยู่ในเอสเอ็นซีในสมัยบุชเผย ก่อนจะเสริมว่า "เอกสารส่วนใหญ่จะพูดกว้างๆ แต่บางครั้งอาจจะมีข้อยกเว้น ซึ่งจะมีการร่างอย่างรอบคอบมาก”

 

รัสปูตินแห่งทำเนียบขาว

 

        ลอเรน ชูลแมน อดีตที่ปรึกษาอาวุโสของซูซาน ไรซ์ อดีตที่ปรึกษาเอสเอ็นซีสมัยอดีตประธานาธิบดีโอบามา เสริมว่า บันทึกการประชุมเหล่านี้ยังสามารถใช้เป็นเอกสารอ้างอิงได้ในภายหลัง และจะเป็นเอกสารสำคัญถ้าหากมีการหยิบยกปัญหานั้นขึ้นมาอภิปรายอีกครั้ง รวมไปถึงในหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นต้องนำผลการประชุมไปปฏิบัติ หรือถ้าหากใครเห็นว่ามีข้อผิดพลาดก็สามารถเรียกร้องให้แก้ไขให้ถูกต้อง ก่อนจะย้ำว่า "ทุกคนจะให้ความสำคัญมากกับเอกสารชิ้นนี้”
        แต่ในช่วงสัปดาห์แรกของรัฐบาลทรัมป์ กลับไม่มีเอกสารสรุปผลการประชุม แหล่งข่าวให้ความเห็นว่า ไม่ประหลาดใจหากจะมีการจัดทำเอกสารขึ้นมาใหม่เพื่อกลบเกลื่อนความจริงที่เกิดขึ้น แต่ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ของเอสเอ็นซีขอดู ซึ่งส่อให้เห็นถึงการขาดความโปร่งใสและความถูกต้อง
        แวกซ์แมนให้ความเห็นว่า "ผมเองก็กังวลอยู่ถ้าหากมีการทำลายบันทึกการประชุมเหล่านั้น เพราะจะเกี่ยวกับธรรมาภิบาลในการบริหาร” เช่นเดียวกับชูลแมน ที่สำทับว่า ถ้าหากเอกสารเหล่านี้ทำขึ้นใหม่ในภายหลังด้วยฝีมือของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมือง ก็คือเป็นการทุจริตทั้งกระบวนการ
        สิ่งที่ผิดปกติมากกว่านั้นก็คือ รัฐบาลที่ผ่านๆ มา จะแจกจ่ายเอกสารสรุปผลการประชุมให้สมาชิกเอสเอ็นซีได้อ่านกันจนกว่าทุกคนจะทำความเข้าใจตรงกัน จากธรรมเนียมปฏิบัตินี้ในตอนแรกจึงมีการแจกจ่ายกันอ่าน แต่แล้วแบนนอนกลับออกกฎใหม่เพิ่มความเข้มงวดในการแจกจ่ายเอกสาร โดยเอสเอ็นซีแทบจะถูกตัดออกจากสารบบ
        ยิ่งกว่านั้นยังมีการตามล่าหาตัวคนปล่อยข่าวให้รั่วถึงหูสื่อว่า ในร่างคำสั่งพิเศษของประธานาธิบดีได้มีการหยิบยกกรณีจะเปิดคุกลับซีไอเอขึ้นมาใหม่ รวมถึงยังมีการหารือเรื่องการทรมานนักโทษก่อการร้าย การขยายหน่วยงานไซเบอร์ ขณะที่ยุบกรมยุโรปและกรมรัสเซียมารวมเป็นกรมเดียวกัน ว่ากันว่า การตามล่าหาคนปล่อยข่าวนี้เอาจริงยิ่งกว่าการตามล่าแม่มดในอดีตเสียอีก
        ดูท่า ทำเนียบขาวจะก้าวสู่ยุคมืดเองเสียแล้ว
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ