"ฟิลลิป มอร์ริส"พ่ายคดีฟ้องกฎหมายต้านบุหรี่ของอุรุกวัย 

      นายตาบารา บาสเกช ประธานาธิบดีอุรุกวัย แถลงทางโทรทัศน์เมื่อวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น (8 ก.ค.) ว่าอุรุกวัยเป็นฝ่ายชนะคดีที่ถูกฟิลลิป มอร์ริส บริษัทบุหรี่ใหญ่สุดของโลก  ยื่นฟ้องต่อศูนย์ยุติข้อพิพาทด้านการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นคณะอนุญาโตตุลาการของธนาคารโลก ว่ากฎหมายต่อต้านการสูบบุหรี่ของอุรุกวัย ส่งผลกระทบการดำเนินธุรกิจ       
        อุรุกวัยเป็นละตินอเมริกาประเทศแรกและประเทศที่ 5 ของโลก ที่ออกกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะในปี 2549 และห้ามโฆษณาบุหรี่ โดยเป็นกฎหมายที่ออกภายใต้นายบาสเกซ นักวิทยาเนื้องอก ที่เคยรับตำแหน่งประธานาธิบดีช่วงปี 2548-2553 ก่อนหวนคืนเก้าอี้ผู้นำอีกสมัยเมื่อปีที่แล้ว
       ฟิลลิป มอร์ริส ฟ้องอุรุกวัยเมื่อปี 2553  เรียกค่าชดเชย 25 ล้านดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่า กฎหมายนี้ละเมิดสนธิสัญญาการลงทุนระหว่างอุรุกวัยและสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศที่สำนักงานใหญ่บริษัทตั้งอยู่ โดยเฉพาะการเพิ่มพื้นที่คำเตือนพิษภัยบุหรี่บนซองทั้งสองด้านเป็น 80% และห้ามขายบุหรี่ยี่ห้อย่อยภายใต้บริษัทผู้ผลิตเดียวกัน เช่น มาร์ลโบโร เรด หรือ มาร์ลโบโร โกลด์ ที่ทำให้ฟิลิป มอร์ริส ต้องถอนสินค้า 7 ตัวจาก 12 ตัวออกจากอุรุกวัย 

(ประธานาธิบดีตาบารา บาสเกซ แห่งอุรุกวัย) 

     ประธานาธิบดีบาสเกซ กล่าวว่า ไม่อาจยอมให้ผลประโยชน์การค้า มีความสำคัญเร่งด่วนเหนือสิทธิพื้นฐานอย่างชีวิตและสุขภาพ และจะพยายามลดภาระด้านโรคภัยจากบุหรี่ที่ประชาชนต้องแบกรับต่อไป 
        ด้าน ฟิลลิป มอร์ริส ออกแถลงการณ์ในวันเดียวกันว่า บริษัทเคารพคำตัดสิน และจะปฏิบัติตามเช่นเดียวกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา กระนั้น คำตัดสินครั้งนี้ไม่ได้เปลี่ยนสถานภาพเดิม คือบริษัทไม่เคยตั้งคำถามถึงอำนาจของอุรุกวัยในการปกป้องสุขภาพประชาชน แต่เพื่อเป็นการสร้างความชัดเจนภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
       นับเป็นความปราชัยในศึกฟ้องร้องอีกยกของยักษ์ใหญ่ยาสูบสหรัฐ ขณะพยายามปกป้องธุรกิจจากกฎหมายต่อต้านการสูบบุหรี่ที่นับวันจะทวีความเข้มงวดมากขึ้นในหลายประเทศ
      ศาลสูงสุดของสหภาพยุโรป เพิ่งมีคำตัดสินเมื่อเดือนพฤษภาคม ปฏิเสธคำร้องของฟิลลิป มอร์ริส และบริษัทบุหรี่อื่นๆ เมื่อชี้ว่า กฎใหม่ของสหภาพยุโรปว่าด้วยการกำหนดให้ซองบุหรี่เป็นฉลากแบบเรียบ และสั่งห้ามจำหน่ายบุหรี่กลิ่นเมนทอล ชอบด้วยกฎหมาย 
      ไม่นานหลังจากนั้น อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศให้ซองบุหรี่ต้องเป็นฉลากแบบเรียบ แต่ให้เวลาผู้ค้าปลีกจำหน่ายบุหรี่ในสต็อกเดิมให้หมดเสียก่อน ส่วนนอร์เวย์กับนิวซีแลนด์ก็เตรียมใช้นโยบายนี้เช่นกัน
       นอกจากนี้ ยักษ์ใหญ่บุหรี่ยังเพิ่งแพ้คดีความในออสเตรเลียหลังต่อสู้กันมานาน 4 ปี แต่ไม่สามารถคว่ำกฎหมายออสเตรเลียที่กำหนดให้ขายบุหรี่แบบปลอดโลโก้และมีคำเตือนพิษภัยบุหรี่อย่างเดียวเท่านั้นได้