
บทอวสานของรัฐบาลประชานิยมเวเนซุเอลา
05 มิ.ย. 2559
บทอวสานของรัฐบาลประชานิยมเวเนซุเอลา : เปิดโลกวันอาทิตย์ โดย... บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์
"เราได้ยินเสียงน้ำแข็งกำลังปริแตก ยิ่งสหรัฐเข้าไปแทรกแซงมากขึ้นเท่าใด เราก็ยิ่งเห็นปัญหามากขึ้น” นี่เป็นข้อความหนึ่งในรายงานลับของเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของสหรัฐคนหนึ่งที่ยังเตือนด้วยว่าเวเนซุเอลา ดินแดนแห่งสาวงามระดับนางงามจักรวาลใกล้จะถึงกาลแตกดับแล้ว
ไม่มีใครสามารถมองข้ามคำเตือนนี้ได้ หลังจากเกิดกระแส “ขวาพิฆาตซ้าย” ขึ้นอีกครั้งในแถบละตินอเมริกา เมื่อกลุ่มขวาหรือกลุ่มเสรีนิยมในภูมิภาคที่อิงแอบกับแดนดินถิ่นคาวบอยเก่ารุกคืบชิงคืนพื้นที่ที่เคยสูญเสียไปช่วง “ซ้ายพิฆาตขวา” เมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว คราวที่พรรคที่เดินตามแนวทางสังคมนิยมหรือแถมพ่วงประชานิยมชนะเลือกตั้งในหลายประเทศ อาทิ ที่เวเนซุเอลา บราซิล โบลิเวีย ฯลฯ และได้จับมือแนบแน่นกับพี่ใหญ่คิวบาร่วมกันต่อต้านอินทรีผยองอเมริกา
กระแสพลิกกลับเป็น “ขวาพิชิตซ้าย” นี้เริ่มจากความสำเร็จเบื้องต้นในแดนแซมบ้าบราซิล เมื่อสภาผู้แทนฯ ได้ลงมติให้พักงานประธานาธิบดีดิลมา รุสเซฟฟ์ อดีตซ้ายเก่าเป็นเวลา 100 วันระหว่างรอมติจากวุฒิสภาว่าจะเห็นด้วยให้เดินหน้ากระบวนการถอดถอนออกจากตำแหน่งหรือไม่
ตอนนี้ศัตรูเก่าอีกคนหนึ่งของทำเนียบขาวที่กำลังเพลี่ยงพล้ำอย่างหนัก ได้แต่นับเวลาถอยหลังว่าจะตกกระป๋องการเมืองเมื่อใด ก็คือประธานาธิบดีนิโคลาส มาดูโร แห่งเวเนซุเอลา ซึ่งทั้งแพ้ภัยตัวเองที่บารมีไม่มากพอเท่ากับอดีตประธานาธิบดีฮิวโก ชาเวซ แพ้พลังประชาชนที่กำลังหิวโหยจนไม่สามารถดึงมาเป็นฐานได้เหมือนก่อน แพ้ภัยการเมืองที่ถูกโดดเดี่ยวมากขึ้นเมื่อ ส.ส.ฝ่ายค้านครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ แถมคนสนิทก็ทยอยตีจาก และแพ้ทฤษฎีสมคบคิดกับระบบทุนนิยมที่มีทุนมหาศาลในการบ่อนเซาะรัฐบาลใดก็ได้ ด้วยวิธีใดก็ได้รวมไปถึงการนำประชาชนมาเป็นตัวประกัน เหมือนเช่นที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในหลายๆ ประเทศทั้งในอดีตและปัจจุบัน ก่อนจะเข้าไปจัดระเบียบใหม่อย่างเนียนๆ
หนำซ้ำ ยังเกิดผีซ้ำด้ำพลอยต้องตกเป็นเหยื่อตัวใหญ่ของวิกฤติราคาน้ำมันที่ดิ่งลงเหวมานานนับปี เนื่องจากเป็นประเทศที่ดีแต่พึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมันแบบเดียวกับซาอุดีอาระเบีย อดีตยักษ์ใหญ่ในการส่งออกน้ำมันทั้งสองประเทศจึงแทบกอดคอกันจมน้ำมันตายอยู่รอมร่อ
แม้ว่าแดนสาวงามและประชานิยมที่ล้มเหลวจะเป็นประเทศที่มีน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลก แต่ก็ประสบหายนะจากน้ำมันเช่นกัน ในรายงานลับของหน่วยข่าวกรองสหรัฐชี้ว่าเป็นผลพวงจากนโยบายพลังงานที่ล้มเหลวของชาเวซ โดยเฉพาะการโอนกิจการน้ำมันเป็นของรัฐ ทั้งๆ ที่ไม่มีมาตรการรองรับ ไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยบริหารและวางแผนขยายการลงทุน ทำให้ไม่มีการลงทุนใหม่ๆ ได้แต่กินของเก่า ทำให้รายได้จากการส่งออกน้ำมันมีแต่ลดลงกว่า 75 เปอร์เซ็นต์จากระดับสูงสุดในเดือนมิถุนายน 2557 สุดท้ายก็ฉุดรั้งให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 10 ปี
ทั้งนักวิชาการและสื่อตะวันตกต่างมีความเห็นตรงกันว่าสารพัดปัญหาทั้งเก่าและใหม่ที่รุมเร้าแดนดินถิ่นสาวงามระดับจักรวาลมีอย่างน้อย 5 ประการ เริ่มจากปัญหาอาชญากรรม เวเนซุเอลาได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีสถิติการฆ่ากันตายมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากฮอนดูรัส ปีที่แล้วเพียงปีเดียวมีคนถูกสังหารมากถึง 1.8 หมื่นคน หมายความว่ามีประชาชน 58 คน จาก 1 แสนคน มีสิทธิถูกฆาตกรรมเทียบกับสหรัฐที่สูงแค่ 4 คนต่อ 1 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นฝีมือของแก๊งอาชญากรรมข้างถนนในย่านยากจนซึ่งค้ายาเสพติด ติดอาวุธและยึดพื้นที่แม้ว่ารัฐบาลพยายามปราบปราม
ประการที่ 2 มาจากความผิดพลาดของนโยบายประชานิยมขายน้ำมันในราคาถูกๆ ให้ประชาชน ขณะที่รายได้ 95 เปอร์เซ็นต์ของประเทศมาจากการขายน้ำมันและพึ่งพาเงินจากน้ำมันเหมือนซาอุดีอาระเบีย เมื่อเกิดวิกฤติราคาน้ำมันโลกทรุดตัวลง จึงส่งผลกระทบรุนแรงต่อประชาชนซึ่งได้แต่ภาวนาให้ราคาน้ำมันโลกกระโดดพรวดเดียวเป็น 121 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลจะได้ช่วยคลี่คลายปัญหาการขาดดุลงบประมาณ ไม่ใช่แค่ราวๆ บาร์เรลละ 50 ดอลลาร์ในขณะนี้
ปัญหาเรื้อรังอีกปัญหาหนึ่งที่ส่งผลกระทบในขณะนี้ก็คือทั้งประเทศเกลื่อนไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่นเฉกเช่นรัฐบาลเกือบทั่วโลก จากการจัดอันดับดัชนีคอร์รัปชั่น เวเนซุเอลาติดอันดับ 9 ประเทศที่คอร์รัปชั่นมากที่สุด ตัวมาดูโรเองก็มีข่าวลือว่าพัวพันกับอาชญากร หลานชายคนหนึ่งถูกจับขณะพยายามลักลอบขนโคเคนหนัก 800 กก.ไปสหรัฐ ขณะที่อดีตรัฐมนตรีร่วมคณะคนหนึ่งมีเงินนับพันนับหมื่นล้านดอลลาร์ เชื่อว่าอาจมาจากการฟอกเงินในช่วงทศวรรษที่แล้ว
ความปั่นป่วนทางการเมือง หลังจากพรรคสังคมนิยมบริหารประเทศมานาน 17 ปี มีประธานาธิบดี 2 คนรวมทั้งมาดูโร ประชาชนเริ่มตั้งคำถามมากขึ้นว่าทำไมทุกอย่างจึงมีแต่แย่ลงหรือถึงขั้นดิ่งลงเหว แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลมาดูโรมีแต่รอวันตายก็คือวิกฤติเศรษฐกิจที่ฉุดทุกอย่างดิ่งลงเหว หนำซ้ำประธานาธิบดีมาดูโรเองก็ไม่ได้เจนจัดทางการเมืองเยี่ยงฮิวโก ชาเวซ ที่สามารถใช้มือเดียวบังแผ่นฟ้าได้ระยะหนึ่ง ผลก็คือขณะนี้ทั้งประเทศเกิดวิกฤติรอบด้าน แถมยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่งเป็นยุงตีกัน เริ่มจากการกระชากราคาน้ำมันสำเร็จรูปภายในประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีรวดเดียว 6,000 เปอร์เซ็นต์ จากลิตรละ 1 เซนต์ (3.60 บาท) เป็นลิตรละ 60 เซนต์ (21.35 บาท) พร้อมกับลดค่าเงินโบลิวาร์ ซึ่งใช้ในการนำเข้าสินค้าสำคัญ อาทิ อาหารและยา จาก 6.3 โบลิวาร์ต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็น 10 โบลิวาร์ต่อดอลลาร์สหรัฐ
แก้ไปแก้มา ก็เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ เมื่อเกิดปัญหาเงินเฟ้อตามมา จากรายงานของธนาคารกลางเวเนซุเอลาชี้ว่าเมื่อปีที่แล้ว อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงแตะระดับ 180.9 เปอร์เซ็นต์ ทำให้กลายเป็นประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงที่สุดในโลก ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประเมินว่าในปีนี้เงินเฟ้อจะดีดตัวสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดเป็น 720 เปอร์เซ็นต์
สำนักวิจัย “เดตานาลิซิส” ได้เผยผลสำรวจสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศโดย พบว่ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของสินค้าโภคภัณฑ์ที่จำเป็นหลายรายการซึ่งล้วนแต่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเกิดขาดแคลน บีบให้รัฐบาลต้องขึ้นราคาสินค้าอาหารสำคัญ โดยเฉพาะข้าวและขนมปัง อันเป็นอาหารหลักของประชาชน พลอยทำให้สินค้าจำเป็นเกิดขาดตลาด ไม่ว่าจะเป็นหยูกยา น้ำตาล อะไหล่รถยนต์ หรือแม้กระทั่งกระดาษชำระ ไม่นับรวมเกิดวิกฤติพลังงาน ไฟฟ้าดับเป็นประจำ ภาพของประชาชนที่เข้าแถวยาวเหยียดเพื่อซื้อสินค้าจำเป็นกลายเป็นภาพที่เห็นชินตา หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องยอมซื้อสินค้าในตลาดมืดแม้มีราคาแพงกว่ามากก็ตาม
ภาพที่น่าอนาถที่สุดก็คือภาพของผู้ป่วย ซึ่งมีทั้งผู้ป่วยมะเร็ง โรคตับอักเสบ พาร์กินสัน และผู้ป่วยอีกหลายโรค รวมตัวประท้วงพร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหายาขาดแคลน จากรายงานของสมาพันธ์เภสัชกร เผยว่าขณะนี้ทั่วทั้งประเทศขาดแคลนยาจำเป็น มากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนยาที่มีอยู่ก็มีราคาสูงขึ้นถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้มีผู้ป่วยอย่างน้อย 1.3 หมื่นคน ไม่สามารถเข้าถึงยาที่จะรักษาโรคได้
แต่ความผิดพลาดของมาดูโรไหนก็ไม่ร้ายแรงเท่ากับการไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นว่าเป็นผลพวงจากความล้มเหลวของนโยบายประชานิยม ดีแต่โทษว่าสหรัฐเป็นตัวการใหญ่อยู่เบื้องหลังสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งมองข้ามปัญหาหิวโหยของประชาชน กล่าวหานักธุรกิจและประชาชนส่วนหนึ่งว่าแอบกักตุนอาหารทั้งไว้บริโภคเองหรือแอบขายในตลาดมืดหรือลอบข้ามแดนไปขายประเทศเพื่อนบ้านอย่างโคลัมเบียเพื่อหวังทำกำไร ทำให้อาหารในท้องตลาดมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์หายไปจากท้องตลาดไปอยู่ในมือของนักเก็งกำไรและกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่ต้องการทำสงครามเศรษฐกิจภายใต้การสมคบคิดกับกลุ่มทุนนิยมตะวันตก
รัฐบาลมาดูโรพยายามแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจแต่กลับเหมือนกับกลัดกระดุมผิดเม็ดได้แต่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า อาทิ ประกาศมาตรการประหยัดไฟเพื่อคลี่คลายวิกฤติพลังงานที่รัฐบาลโทษว่าเป็นผลพวงจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี ทำให้ระดับน้ำในเขื่อนหลายแห่งไม่เพียงพอสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า จนถึงขั้นต้องสั่งให้ข้าราชการทำงานสัปดาห์ละ 4 วัน ก่อนจะลดเหลือทำงานวันเดียวคือวันจันทร์ แล้วเพิ่มเป็น 2 วันคือวันจันทร์กับอังคาร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน ขณะที่นักเรียนมีเวลาเรียนแค่ 4 วันในแต่ละสัปดาห์ หรือเพิ่มโทษคนที่กักตุนสินค้าหากทำกำไรเกิน 30 เปอร์เซ็นต์มีสิทธิติดคุก
แต่มาตรการเหล่านี้ก็ไม่สามารถลดกระแสไม่พอใจของประชาชนได้จนมีการเดินขบวนตามเมืองใหญ่น้อยทั่วประเทศ เมื่อสถานการณ์มีแต่เลวร้ายลง รัฐบาลก็ยิ่งติดกระดุมผิดเม็ดมากขึ้นด้วยการขออำนาจในการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อให้ประธานาธิบดีมีอำนาจพิเศษที่จะเข้าไปแก้ไขวิกฤติการเงิน รวมทั้งออกกฎหมายไฟเขียวให้หน่วยปราบจลาจลใช้อาวุธยิงใส่ผู้ประท้วงได้เพื่อป้องกันตัวเองจากเหตุการณ์รุนแรงและคงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยจะเริ่มจากเบาไปหาหนัก ซึ่งหมายถึงสามารถใช้กำลังจนอาจทำให้ผู้ประท้วงถึงแก่ชีวิตได้
อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครตั้งคำถามว่าถ้ามาดูโรพ้นตำแหน่งจริงแล้วสารพัดวิกฤติประเทศจะดีขึ้นทันตาเห็นหรือไม่ ถ้าใช่ ก็เท่ากับเป็นหลักฐานยืนยันถึงทฤษฎีสมคบคิดร่วมกันสร้างความปันป่วนขึ้นในประเทศโดยใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน อีกคำถามหนึ่งก็คือถ้าหากมีรัฐบาลใหม่จริงจะเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเร่งฟื้นฟูประเทศได้จริงหรือไม่ หรือจริงๆ แล้วแค่เป็นเรื่องของลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นไม่สายเท่านั้น