บันเทิง

'แจ๊คกี้-ปอร์เช่'พลิกคำปรามาสเป็นพลังปลุกฝันให้เป็นจริง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ปอร์เช่" ศิวกร  และ "แจ๊คกี้" จักริน  หรือ "หน้ากากหลวิชัย-คาวี" แชมป์ "THE MASK SINGER ซีซั่นวรรณคดีไทย" เปิดใจกว่าจะมีวันนี้

 


    ทีมบันเทิง คมชัดลึก -  หลังจากคว้าแชมป์ “THE MASK SINGER ซีซั่นวรรณคดีไทย” ชนะใจคนไทยทั้งประเทศ 2 หนุ่ม “ปอร์เช่“ ศิวกร อดุลสุทธิกุล และ “แจ๊คกี้” จักริน กังวานเกียรติชัย ศิลปินในสังกัด “4NOLOGUE” ก็กลายเป็นที่จับตามองอย่างมากว่าพวกเขาคือศิลปินรุ่นใหม่ที่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา วันนี้ “บันเทิง คมชัดลึก” ได้มาเปิดใจทั้งสองหนุ่มที่กว่าจะมาถึงวันนี้พวกเขาต้องผ่านความพยายามมามากแค่ไหน 
 

    @@ หน้ากากหลวิชัย-คาวี ฟีเวอร์
    เป็นยังไงบ้างหลังจากคว้าแชมป์ คิดมั้ยว่าจะเป็นเรา

    ปอร์เช่ : “ตอนที่เขาประกาศเราก็ชะงักไปนิดนึง สตั๊นต์ไปเลย ในรายการจะเห็นว่าตอนเขาประกาศคือผมเป็นคนที่ตัวแข็งคือเหมือนเมฆมากใช่ไหมแต่ข้างในคือเลิ่กลั่กสุดๆ แต่พอมีหน้ากากคนเลยไม่เห็นว่าสีหน้าอาการของเราเป็นยังไง ตอนที่ยืนอยู่มันตื่นเต้นคือเราลุ้นว่าใครจะได้ เอิร์น เดอะสตาร์ เก่งมากๆ มันเป็นวินาทีที่เราลุ้นกัน ก็มีคุยกัน 3 คนว่าใครจะได้ สำหรับผมรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ดี เป็นวินาทีที่ดี เป็นประสบการณ์ที่เราจะจดจำไปตลอด”

 

    แจ็คกี้ : “คือเราสตั๊นต์ไปนานมาก ผมก็คิดว่ามันเป็นไปได้จริงหรือ เกิดอะไรขึ้น แต่ก็ดีใจมาก ตอนที่อยู่บนเวทีจริงๆ เราทำอะไรไม่ถูก ผมถือว่ารางวัลที่เราได้มาเป็นของหน้ากากทุกๆ หน้ากาก เพราะถ้าไม่มีทุกๆ หน้ากากเราเองก็อาจจะไม่สามารถก้าวข้ามขีดความสามารถของตัวเองได้”

 

    ทำไมถึงตัดสินใจไปร่วมรายการ
    ปอร์เช่ : “ทางรายการติดต่อมา แล้วพอดีคิวเราสองคนตรงกัน และบังเอิญตรงที่เราสองคนออกงานคู่กันเยอะมาก พอเทปแรกของรายการออกไปคนก็เดาได้ มันไม่เนียนตรงนี้ (หัวเราะ) แต่ผมถามแม่ผม แม่ผมไม่รู้นะ เวลามีคนถามเราก็ไม่พูด เพราะเดี๋ยวโดนปรับ (หัวเราะ) แต่ส่วนมากมาหลุดกันเองในรายการ ตอนพักเบรก ผมหลุดเรียกชื่อแจ๊คกี้ แล้วแจ๊คกี้ก็ชอบหลุดเรียกชื่อผม แบบเรียกพี่เสือ พี่เช่ เอ๊ย พี่เสือๆ”


    แจ็คกี้ : “ก่อนไปผมก็คิดว่าจะมีคนจำเสียงเราได้ไหม ก็มี ซึ่งเราก็มีแอบเช็กในทวิตเตอร์ว่าใช่หรือเปล่า เราก็พยายามย้ำว่าไม่ใช่ พอมีใครถามเราก็พยายามเลี่ยง เลี่ยงไปอย่างอื่น แต่ก็พยายามไม่ให้สงสัยเยอะ”

 

    คิดว่ามีกี่เปอร์เซ็นต์ที่รู้ว่าเราเป็นหน้ากากหลวิชัย-คาวี
    ปอร์เช่ : “ผมว่าเขาอาจจะรู้แต่ไม่บอก ก็ได้ (“แจ๊คกี้” ใช่ๆๆๆ) อย่างแฟนคลับส่วนใหญ่ก็จะรู้ (หัวเราะ) เสน่ห์ของรายการคือไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ถ้าเกิดสงสัยคนนี้แล้ว เราไปตอบว่าเป็นเรามันก็ไม่สนุกใช่ไหมล่ะ เพราะรายการคือใส่หน้ากากไม่ให้ใครเห็นอยู่แล้ว รอดูผลงานแต่ละอาทิตย์ว่าเขาเป็นใครสนุกกว่า” 

    แจ็คกี้ : “ถ้าเป็นคนที่ใกล้ตัวเราก็เยอะเหมือนกัน ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ได้”
 

 

    ได้รับคำชมมากกับโชว์ที่ทำในรายการ
    แจ็คกี้ : “เรื่องของการคิดโชว์ช่วยกันหาไอเดียเพลงมาตลอด อะเรนจ์โชว์ จะคุยกันตลอดว่ารอบนี้เราอยากได้เพลงแนวไหน เพลงเร็ว อยากจะเต้น คือผมเป็นคนเสนอว่าอยากได้เป็นเพลงช้าหรือเร็ว แล้วพี่เช่จะเป็นคนใส่รายละเอียดว่าแต่ละท่อนเป็นยังไง”

 

 

'แจ๊คกี้-ปอร์เช่'พลิกคำปรามาสเป็นพลังปลุกฝันให้เป็นจริง

 

 

'แจ๊คกี้-ปอร์เช่'พลิกคำปรามาสเป็นพลังปลุกฝันให้เป็นจริง

 

 

 

    การทำโชว์แบบสองคนมีปัญหาไหม
    แจ็คกี้ : “ก็มีบ้าง แต่เป็นเรื่องของวิธีการร้องมากกว่า ไม่ได้มีเรื่องว่าเลือกเพลงยังไง เรื่องเพลงเรามีความเห็นตรงกันว่าถ้ามันดี มันก็ดี คือถ้ามันดีแล้วจะบอกว่าไม่ดีมันไม่ได้อยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่งคือเราสองคนชอบแนวเพลงคล้ายๆกันอย่างเช่นแนวฮิพฮอพ อาร์แอนด์บี แต่เพลงที่เราอะเรนจ์มา จะมีความน่าสนใจในการนำดนตรีไทยมาผสมกับความโมเดิร์น ซึ่งมันเป็นโจทย์ที่เราคิดเอง เพราะเรารู้สึกว่าแต่ละแนวเพลงมันก็มีเสน่ห์แตกต่างกัน ทางรายการเขาก็มีการใส่ดนตรีไทยให้อยู่แล้วเพราะมันเป็นกิมมิกของวรรณคดีไทย ส่วนเราต้องการใส่ความโมเดิร์นเข้าไป เพราะเรารู้สึกว่าดนตรีไทยมีเสน่ห์ไม่ว่าจะมิกซ์กับอะไรก็ตาม”

 

    โดยปกติแจ็คกี้สามารถร้องเพลงไทยเดิมได้อยู่แล้วหรือเปล่า
    แจ็คกี้ : "ไม่เลย แค่เคยฝึกเล่นๆ ที่โรงเรียน แต่ก็ไม่ได้จริงจัง มารายการนี้ถึงได้เต็มๆ คือเราซ้อมหนักมาก
    ปอร์เช่ : เราได้ลองทำอะไรที่เราไม่เคยทำ เช่นการขับเสภา การร้องเพลงลูกทุ่ง คืออยากจะบอกว่าการที่เรามาร่วมในรายการนี้เราไม่ได้มาเพื่อผ่อนหรือปล่อยเวลาให้ผ่านไป แต่เรามาเพื่อทำในแบบที่เราไม่เคยทำมาก่อน อยากลองอะไรใหม่ๆ ซึ่งมันได้มากกว่าการฝึกฝน มันคือประสบการณ์ที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองเพื่อที่จะทำให้เราชอบในผลงานตัวเองให้ได้"

 

    พอจบรายการอะไรที่เราได้เพิ่มมาจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
    แจ็คกี้ : “ผมว่าเป็นสกิลการร้องเพลงและการเพอร์ฟอร์แมนซ์บนเวที (ปกติเป็นคนขี้เขิน) ก็เขิน ตอนที่เราอยู่ในหน้ากากเราสามารถใส่ทุกอย่างออกมาได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่พอเราถอดหน้ากากเราอาจจะใส่ได้แค่ 60 เปอร์เซ็นต์ คือเราต้องเล่นใหญ่เวลาอยู่ภายใต้หน้ากาก การแสดงที่สื่อออกไปมันต้องให้เยอะมากกว่าปกติ สิ่งที่เราเรียนรู้มากที่สุดคือเรารู้สึกว่าเราได้ชั่วโมงบินเพิ่มมากขึ้นในฐานะของความเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ คือเราอยากค่อยๆ เก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ในตอนนี้คนอาจจะบอกว่าเราทำได้ดีที่สุดแล้ว แต่เราเองอยากที่จะพัฒนาไปเรื่อยๆ”

 


    ปอร์เช่ : "เวลาใส่หน้ากากเราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เราก็ต้องแสดงออกมาให้มากกว่าปกติ ท่าทางต้องมากกว่าเดิมคือมันไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงการสื่อความหมายที่เราต้องการส่งไปถึงคนดูได้อย่างเต็มๆ เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องเล่นใหญ่ไว้ หลังๆ ที่เราออกมาโชว์มันก็ทำให้เพอร์ฟอร์แมนซ์เราดีขึ้น เพราะว่าเราได้ฝึกฝนมากกว่าเดิม เราอยากให้ทุกเวทีที่เราขึ้นแสดงเหมือนเป็นจุดที่บอกว่าเราเคยมาฝึกฝนที่นี่ เราได้ประสบการณ์อะไรมาจากที่นี่บ้าง และเราได้นำสิ่งนี้ไปพัฒนาต่อ”

 

 

    กระแสยอดวิวในแต่ละโชว์ทะลุล้านเกือบทุกวิว
    ปอร์เช่ : “ต้องขอบคุณทุกคนมากจริงๆ ก็ได้มีไปเช็กกระแสบ้าง เอาจริงๆ เราค่อนข้างภูมิใจในทุกๆ โชว์ที่เราได้แสดงออกไปบวกกับมุมกล้องของทางรายการ แสงสีเสียงของรายการ รวมถึงดนตรีทำให้เรารู้สึกประทับใจในผลงาน”

 

    ถ้าตัดคอมเมนต์จากแฟนคลับออกไปได้รับฟีดแบ็กจากคนทั่วไปบ้างไหม
    ปอร์เช่ : “มีนะบางคนก็บอกว่าไม่เคยติดตามเรามาก่อน เขาก็เข้ามาชื่นชมในโชว์ของเรา จริงๆ เราก็ต้องยอมรับว่าคอมเมนต์มีคนอยู่ 2 กลุ่มคนที่ชื่นชมหลังจากที่เราได้โชว์ไป กับกลุ่มที่ 2 คนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นโดยเอาหน้าตาของพวกเรามาเป็นตัววัด พร้อมกับคำวิจารณ์โดยมองแค่หน้าตาของพวกเราเท่านั้น”

 

    แจ็คกี้ : “คือพวกเราทั้งสองคนพร้อมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ทุกอย่างเพราะอยากที่จะเอาคำเหล่านั้นมาปรับให้ดีขึ้น แต่อย่างที่บอกว่าเราอยากให้วิพากษ์วิจารณ์ในการดูโชว์ของเรา ไม่ได้มองว่าเราหน้าตาเป็นยังไง มีคนรู้จักมากแค่ไหนเพราะอย่างที่บอกว่าโจทย์ของรายการคือการใส่หน้ากากเพื่อไม่ให้รู้เป็นใครเพื่อจะได้วัดความสามารถตรงนั้นไปเลย”

 

 

 

'แจ๊คกี้-ปอร์เช่'พลิกคำปรามาสเป็นพลังปลุกฝันให้เป็นจริง

 

 

'แจ๊คกี้-ปอร์เช่'พลิกคำปรามาสเป็นพลังปลุกฝันให้เป็นจริง

 

    @@ ฝ่ากระแสบูลลี่
    การที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเราเป็นบอยแบนด์ขายหน้าตาไม่ได้ขายความสามารถรู้สึกอย่างไร

    แจ็คกี้ : “ก็แล้วแต่คนจะคิด เราก็พร้อมที่จะยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เราอยากจะบอกคือเราอยากที่จะทำตามความฝันโดยใช้ความสามารถของเรา”
    ปอร์เช่ : “เอาจริงๆ นะมันก็เป็นธรรมดา คือเรามาอยู่ตรงนี้ไม่ได้อยากที่จะพิสูจน์ให้ใครเห็นว่าเราเป็นยังไง แต่เราพิสูจน์กับตัวเราเองมากกว่า”

    แจ๊คกี้ : “เราเลยเลือกทำเพลงวัดใจขึ้นมา มันเป็นเพลงที่เอาคำเหล่านั้นมาจุดไฟให้ความหวังของเรามันไม่พังทลาย (หัวเราะ) จริงๆ คำเหล่านั้นมันมีผลกระทบในทางที่ดี คอยทำให้เราได้ผลักดันตัวเองให้ได้เห็นว่าเราไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ”

    ปอร์เช่ : “ที่ผ่านมายอมรับว่าคำวิจารณ์บางอย่างส่งผลกระทบกับผมเยอะ อ่านแล้วรู้สึกนอยด์มาก แล้วมันเป็นช่วงที่เราซ้อมอยู่ พอเราตั้งสติได้เราพลิกกลับเปลี่ยนคำเหล่านั้นเป็นพลังงาน”

 

    บอกตัวเองยังไงที่เปลี่ยนคำเหล่านั้นเป็นพลังงาน
    ปอร์เช่ : “มันไม่สามารถบอกได้ว่าทำยังไง เราก็มีวิธีในแบบของเรา มันเป็นความรู้สึกด้วยแหละที่เราต้องบอกตัวเอง คือผมโดนเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กตั้งแต่ตอนอยู่ค่ายเก่าแล้วก็เลยค่อนข้างจะมีวิธีรับมือกับเรื่องนี้ แต่มันไม่ถึงกับว่าเราแข็งแกร่งพอ แต่ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบเราก็ต้องพลิกกลับมาทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”

    แจ๊คกี้ : “ส่วนตัวผมเป็นคนที่ไม่ได้นอยด์มากขนาดนั้น เราก็คิดว่าเราไม่ได้เป็นแบบที่เขาคอมเมนต์แล้วเราก็คิดว่าเราจะทำให้ดูว่าเราไม่ได้เป็นแบบที่คุณพูดนะ”

 

 

'แจ๊คกี้-ปอร์เช่'พลิกคำปรามาสเป็นพลังปลุกฝันให้เป็นจริง

 

 

'แจ๊คกี้-ปอร์เช่'พลิกคำปรามาสเป็นพลังปลุกฝันให้เป็นจริง

 

 

    เห็นว่ามีช่วงที่ท้อเหมือนกัน
    แจ๊คกี้ : “มีๆ คือช่วงที่เราซ้อมและไม่ได้นอน ซ้อมตั้งแต่ประมาณทุ่มหนึ่งจนถึง 7 โมงเช้าของอีกวัน คือเราซ้อมประมาณ 12 ถึง 18 ชั่วโมงต่อวัน เราก็มีคำถามกับตัวเองว่าเราควรไปต่อดีไหมแล้วเราก็หาคำตอบกับตัวเองว่าเราอยากไปต่อให้มันถึงที่สุด มันเหมือนเป็นการแข่งขันกับตัวเองเหมือนว่าถ้าคนอื่นทำได้เราก็ต้องทำได้ และถ้าเมื่อเราตั้งใจที่จะทำให้ได้ก็ต้องทำให้ได้ออกมาดีที่สุดด้วย”

    ปอร์เช่ : “ที่เราทุ่มเทซ้อมหนักเพื่อเราอยากที่จะพยายามให้คนอื่นเห็นและอยากให้ตัวเองชอบ คือเราอยากให้คนได้เห็นว่าเราพยายาม เราไม่ได้มาเพื่อจะขายแค่ว่าหน้าตาดี”

 

 

    วันนี้ได้แชมป์และได้รับการยอมรับคิดว่าความพยายามของเราประสบความสำเร็จหรือยัง
    ปอร์เช่ : “ยัง เหมือนมันเป็นแค่ทางผ่าน เป็นเหมือนด่านด่านหนึ่ง ว่าเราเคยทำสิ่งนี้มาแล้ว แต่เราต้องพยายามมากกว่าเดิมอีกเพื่อให้ใจตัวเราเองไปไกลกว่านี้ ให้ตัวเองพัฒนามากกว่าเดิม คือยิ่งเราได้จากเวทีนี้มาเยอะมากๆ เราก็อยากต่อยอดจากเวทีนี้ไปอีก”

 

    ฝันว่าอยากจะทำอะไรต่อไป
    ปอร์เช่ : “เขาบอกกันมาว่าความฝันห้ามพูดออกไปเดี๋ยวมันจะไม่เป็นจริง (หัวเราะ) คือเราอยากที่จะพัฒนาตัวเองให้มากกว่านี้ ทั้งเรื่องการร้องและเรื่องอื่นๆ คือผมอยากจะพัฒนาตัวเองในเรื่องการร้องเพลงให้มากกว่านี้ก็จะมีอาจารย์แจ็คกี้เป็นคนช่วย (ยิ้ม)”

    แจ๊คกี้ : “จริงๆ เราก็ช่วยกันเพราะว่าผมเองก็อยากจะพัฒนาเรื่องการร้องเพลงเหมือนกัน คือจากเวทีนี้เราได้เรียนรู้อะไรเยอะมากๆ ถ้าเราจะมาหลงกับคำชื่นชมในอดีตที่มันผ่านไปแล้ว แต่ไม่เคยคิดที่จะพัฒนาปัจจุบันและอนาคต ผมว่ามันก็เป็นเรื่องยากที่เราจะยืนอยู่ตรงนี้”

 

 

'แจ๊คกี้-ปอร์เช่'พลิกคำปรามาสเป็นพลังปลุกฝันให้เป็นจริง

 

 

'แจ๊คกี้-ปอร์เช่'พลิกคำปรามาสเป็นพลังปลุกฝันให้เป็นจริง

 

 

 

    @@ มุมส่วนตัวของ “ปอร์เช่-แจ๊คกี้”
    ความสัมพันธ์ของเราสองคนเราสนิทกันมากแค่ไหน

    ปอร์เช่ : “จริงๆ เราก็สนิทกันพอสมควรอยู่แล้ว พอมาทำงานด้วยกันเราก็รู้ใจกันมากขึ้น เมื่อก่อนผมเป็นคนนิ่งแล้วแจ๊คกี้อาจเป็นคนที่พูดไม่รู้เรื่อง แต่ตอนนี้คือผมเป็นคนที่พูดไม่รู้เรื่อง และแจ๊คกี้นิ่งกว่าผมไปแล้ว (หัวเราะ)”
    แจ๊คกี้ : “คือเราสองคนมันเชื่อมกัน ก็คือเราอยู่ด้วยกันเยอะ”

 

    ให้พูดถึงแต่ละคนหน่อยสำหรับปอร์เช่ แจ็คกี้เป็นเด็กยังไง
    ปอร์เช่ : “เขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ (หัวเราะ) คือเขามีความซนแต่เขาตั้งใจทำงานมากและมีความมุ่งมั่นมีความทะเยอทะยานและก็มีความน่าตี (หัวเราะ) คือเขามีความน่าหมั่นไส้”

    แล้วสำหรับแจ็คกี้ ปอร์เช่เป็นคนยังไง
    แจ๊คกี้ : “พี่เช่ เป็นคนดี เขาเป็นคนตั้งใจทำงานเสมอต้นเสมอปลาย (สมมุติปอร์เช่ไม่อยู่ตรงนี้) พี่เช่เป็นคนขี้หัวร้อน(หัวเราะ) เขาก็มีหัวร้อนใส่เราบ้าง"
    ปอร์เช่ : “ไม่ดุ ดุเหรอ หรืออาจเป็นเพราะเสียงเลยดูดุหรือเปล่า ดุจริงเหรอ” 
    แจ๊คกี้ : "คือส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยโดนพี่เช่ดุจะเป็นพี่เติร์ด (ลภัส) โดนมากกว่า”
    ปอร์เช่ : “ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะ"

 

 

    ตอนนี้ชีวิตเปลี่ยนไปแค่ไหน
    ปอร์เช่ : “ผมรู้สึกว่าเราได้เดินทางสายศิลปินของเราไกลกว่าเดิม คือเราเริ่มมาจากศิลปินและก็ยังเดินทางอยู่ พอมาถึงจุดนี้ก็ได้พัฒนาการเดินทางให้แข็งแรงขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าแข็งแรงที่สุด คือเรายังมีหนทางที่จะต้องไปต่อ คือมันเป็นทางเดินที่เรารู้สึกว่าเราชอบและเราจะเอาสิ่งนี้ไปพัฒนาต่อไป”

 

    แจ๊คกี้ : “จริงๆ พี่เช่พูดดีแล้วนะ (ไม่ซิพูดในแบบของแจ๊คกี้ซิ) สำหรับผมถามว่ามันเปลี่ยนไปแค่ไหน คือมันเปลี่ยนไปเยอะมากๆ ทั้งเรื่องวินัยการทำงานและระบบความคิดแตกต่างจากเพื่อนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน คือเราเจออุปสรรคมาเยอะมากทั้งในเรื่องของเวลา เรื่องของการทำงานที่หนัก ซึ่งมันก็สอนให้เราได้เรียนรู้เยอะเหมือนกัน”

 

    มองงานอื่นๆ ในวงการบันเทิงนอกจากร้องเพลงบ้างไหม เคยไปชิมลางการแสดงมาแล้วด้วย
    ปอร์เช่ : “ผมเป็นศิลปินมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถามเรื่องการแสดงก็ทำได้ แต่ไม่ใช่ทาง แต่ถ้ามีบทที่สนใจผมก็เล่นนะ แต่ไม่ได้อยากเป็นพาร์ทนักแสดง มันเป็นงานศิลปะงานหนึ่งที่เราสามารถทำได้ บางคนยังงงว่าผมเป็นดารามาร้องเพลง ผมอยากบอกว่าผมเป็นศิลปินนะ (ยิ้ม)”

    แจ๊คกี้ : “ในตอนนี้ผมเองว่าผมก็ชัดเจนมากขึ้น ส่วนตัวอยากทำตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน เส้นทางมันชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กๆ เราก็ฝันว่าเราอยากทำงานในวงการบันเทิง เป็นศิลปิน อยากแสดงละคร เล่นหนัง ทำเพลงมีเพลงเป็นของตัวเอง ก็ลองดูหลายๆ ทางก็มาเจอด้านดนตรี เราก็เลยชอบ และก็อยากที่จะทำต่อไปเรื่อยๆ”


    “แจ๊คกี้-ปอร์เช่” สองหนุ่มที่ทำให้คำว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” เห็นเป็นภาพชัดเจนมากๆ 

 

 

 

'แจ๊คกี้-ปอร์เช่'พลิกคำปรามาสเป็นพลังปลุกฝันให้เป็นจริง

 

 

'แจ๊คกี้-ปอร์เช่'พลิกคำปรามาสเป็นพลังปลุกฝันให้เป็นจริง

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ