ผกก. เตรียมจับเข่าคุยเหตุใดเรตติ้ง 'กลิ่นกาสะลอง' ไม่ปัง

 

    ทีมบันเทิง  คมชัดลึก  -  โค้งสุดท้ายแล้ว สำหรับละครเรื่อง "กลิ่นกาสะลอง" ที่เหลือแค่ 4 ตอน หลายคนจับตามองว่าเรตติ้งจะแตะสูงสุดที่เท่าไหร่ เพราะถึงกระแสละครจะได้รับการพูดถึง แต่เรตติ้งกับไม่เป็นไปตามเป้าที่คาดการณ์ไว้ ทั้งที่ได้พระเอกนางเอกระดับแม่เหล็กอย่าง "เจมส์ มาร์" และ "ญาญ่า" อุรัสยา แถมลงทุนดึงตัวผู้กำกับมือดีอย่าง "สันต์ ศรีแก้วหล่อ" มาจากช่องวัน 31 ผลของเรตติ้งที่ได้กับไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง งานนี้ผู้สื่อข่าวได้เจอกับผู้กำกับของเรื่องนี้อย่าง สันต์ ศรีแก้วหล่อ จึงถามถึงเรื่องราวดังกล่าว

 

    ทำให้ช่อง 3 เรื่องแรก เรตติ้งกระแสที่กลับมาเป็นไงบ้าง
    "ดีนะครับมีทั้งชมและด่า ก็มีทั้งชมและด่าสนุกดี ส่วน ใหญ่ที่ด่าเราก็จะเห็นในทวิตเตอร์ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของความใจร้อนอยากเห็นว่ามันคลี่คลายว่าเรื่องราวมันจะเป็นยังไง ในอีกข้อความนึงก็ลุ้นไปเครียดไป หัวใจจะวายแล้ว ส่วนหนึ่งมันก็สะท้อนความอิน ว่าคนดูอินแล้วก็เอาใจช่วยตัวละคร แต่ว่าดูไปด่าไปก็โอเค"

 

    คนวิจารณ์ว่าตอนทำ "พิษสวาท" มันกระชับฉับไวกว่านี้
    "มันคนละทางกัน ตือพิษสวาทมันมีมากกว่าเรื่องรักของพระนาง มันมีอย่างอื่นด้วยที่อยู่ในนั้น ซึ่งมันมาจากบทประพันธ์อยู่แล้ว แต่กลิ่นกาสะลองมันเป็นเรื่องรักของพระนางคู่หนึ่ง เหมือนโรมิโอกับจูเลียตที่ต้องผจญวิบากกรรมอะไรต่างๆ สุดท้ายแล้วเขาจะได้รักอะไรกันไหม การมันเปรียบเทียบกันไม่ได้"

 

    ช่วงหลังจากที่ถูกวิจารณ์ดูจะกระชับขึ้น 
    "จริงๆคือไม่ได้ทำอะไรนะมันเป็นไปตามบทที่ถูกวางไว้ตั้งแต่แรกแล้วคือระวังขั้นตอนกันในบทมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะรักกันตรงนี้จะหนีกันตรงนี้จะหนีกี่ครั้งไปมีความสุขกันแค่ไหนมันถูกวางไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว มันไม่ใช่ว่ามีกระแสวิพากษ์วิจารณ์แล้วมาตัดต่อใหม่คือจริงๆก็ยังตัดต่ออะไรไม่เสร็จก็ยังตัดไม่ทัน เหลืออีก 2 สัปดาห์"

 

    มีการวิจาร์เรื่องของการพากย์เสียงด้วย
    "มีบางอัน คือมันมาจาก 2 สาเหตุคือ 1 ตอนที่ถ่ายเรามีเอฟเฟคเยอะทำให้เสียงที่เราบันทึกมามันใช้งานไม่ได้ก็เลยต้องมาภาคใหม่กับอีก 1 สาเหตุคือเรื่องภาษาเหนือเรามีครูสอนภาษาเหนือ 3-4 คนซึ่งก็มาจากคนละจังหวัด ถ้าจำไม่ผิดคือมาจากเชียงใหม่ 2 คนแล้วก็เชียงราย 1 คนแล้วก็พะเยา 1 คนแล้วพอไปๆ มาๆ สำเนียงมันไม่เหมือนกัน แล้วพอมาฟังอีกทีนึงมาตรวจก็เลยต้องมาพากย์ทับ มาซ่อมใหม่ ถามว่าเยอะไหมจริงๆก็ไม่เยอะคือตั้งแต่ที่ถ่ายมาพี่ญ่าเพิ่งไปพากษ์มาแค่ 2 วัน 2 วันคือห่างๆกันนะเพราะว่าเราตัดไปออนไปอย่างวันแรกก็ไปพากษ์ประมาณ 4-5 ฉากวันที่ 2 ก็ไปอีกประมาณ 4-5 ฉากซึ่งถือเป็นเปอร์เซ็นต์น้อย"

 

    คนวิจารณ์เรื่องการพากษ์ว่าเสียงมันลอย
    "ตอนเช็คเราไม่ได้รู้สึกซึ่งตอนเช็คเราก็ใส่หูฟัง แบบที่ฟังซาวด์แต่เรายังไม่เคยเช็คตอนที่ออกอากาศ ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้เข้ามาบ้างแต่ไม่เยอะ ได้ยินมาบ้างแต่ไม่รู้สึกว่าเยอะ โดยเทคนิคมันก็มีที่เวลาไปออนแอร์แล้วภาพกับเสียงไม่ตรงกันทั้งที่ต้นฉบับมันตรงกันซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันเกิดจากเทคนิคเรื่องของอะไร กระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่เราได้ยินมาเท่าที่เขาพูดกันคือเป็นแค่ของญ่า  แต่จริงๆแล้วก็มีคนอื่นพากษ์ทับเหมือนกัน ทั้งพี่ปุ๊-มนตรี, พี่เจมส์ (เจมส์ มาร์) ป๊อป-ฐากูล ต้องไปพากษ์ทับหลายคนเลย เพราะอย่างที่บอกมันมีเรื่องของเอฟเฟคที่มันมีเสียงกวน"

 

 

 

 

    คนคาดหวังว่าเป็นโปรเจ็คใหญ่ กระแสดีแต่เรตติ้งสวนทาง
    "อื้อ...จริงๆ เสร็จแล้วก็ควรมานั่งวิเคราะห์กันว่าเพราะอะไร โดยส่วนตัวก็คิดไว้ประมาณหนึ่ง คงต้องรอให้ละครจบก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน ส่วนตัวเราทำงานๆ หนึ่ง ก็ต้องวิเคราะห์ตัวเอง วิเคราะห์งานว่ากระแสเป็นแบบนี้ แต่เรตติ้งเป็นแบบนี้ จริงๆ ควรได้พูดคุยและสรุปบทเรียนกัน"

 

    คิดว่าเป็นเพราะจังหวะหรือเปล่า เพราะว่าชนละคร ชนมวย แถมยังต่อละครที่แนวเดียวกันอีก
    "มันก็หลายปัจจัยนะ ถ้าพูดกันซื่อๆ กลับภพกลับชาติมีกันเท่าไหร่แล้ว ชนกันมากี่โปรแกรมแล้ว และรายการมวยก็แรง ใบไม้ที่ปลิดปลิวก็ดี มันก็เป็นหลายปัจจัย แต่ท้ายที่สุดคนทำงานก็ต้องดูเรตติ้งด้วย แต่ว่ากระแสที่เข้ามามันก็ทำให้เราสบายใจได้ว่างานเราไม่ขี้เหร่ งานเราก็อยู่ในมาตรฐาน"

 

    ส่วนตัวรู้สึก ว่ามันควรได้มากกว่านี้ 
    "เอาเข้าจริงๆนะ สมัยนี้ไม่กล้าคาดหวังจริงๆ หลักการทำงานสมัยนี้ ทีวีดิจิตอลสมัยนี้ คือเราเดาทางลำบากมาก มันเหมือนซื้อหวยจริงๆ เพราะฉะนั้นมันทำให้เราไม่เคยมั่นใจอะไรสักเรื่องอยู่แล้ว ตอนทำเมีย 2018 ก็ไม่มั่นใจว่ามันจะได้ แล้วพอดีมันได้ขึ้นมา ซึ่งตอนนั้นเราเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันได้ หรือ ตอนทำพิษสวาท ก็ไม่คิดว่ามันได้ เพราะฉะนั้นเราก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของเรา"

 

    คนมองว่ากลิ่นกาสะลอง ดูครบทุกองค์ประกอบ ทั้งนางเอกพระเอกผู้กำกับหรือดีกรีของผู้จัด 
    "ถ้าถามถึงความกดดันการทำงานทุกเรื่องเรากดดันอยู่แล้ว เอาแค่สำหรับเราก่อนนะการไปทำงานที่ใหม่ กับนักแสดงหน้าใหม่ ส่วนตัวเราเองก็อยากทำให้มันดีทำให้มันสุด ใส่ไปเต็มที่ใส่ไปเต็มพลัง แต่ด้วยปัจจัยต่างๆนานามันก็ .... พอมันมาเป็นแบบนี้ เราก็มองว่า พอหลังจากละครจบคงต้องมานั่งสรุปกัน ขอยืนยันว่าความกดดันที่พูดมาก่อนหน้านี้มันไม่ได้ทำให้เราทำงานเกร็ง คือทุกคนก็ทำงานกันเต็มที่สนุกกับงานที่ทำ"

 

    ตอนที่ทำละครเรื่องมีเสร็จ แล้วละครจะออนแอร์เราคาดหวังยังไงกับละครเรื่องนี้
    "คาดหวังว่าคนดูจะชอบ เท่านั้นเอง เพราะว่า เราเองไม่กล้าคาดหวังให้มันดัง หรือให้มันฟีเวอร์ อะไร เพราะเรารู้ว่าของแบบนี้มันหวังไม่ได้ เราหวังแค่ว่า สิ่งนี้ที่เราทำออกไปแล้วคนดูจะชอบ อย่างน้อยมันอยู่ในมาตรฐานที่เราทำงานมา ได้โปรดักส์ชั่นที่ดีงาม ได้การแสดงที่สนุก คนดูอินตาม เอาใจช่วยตัวละครสำหรับเราแค่นั้น"
    ซึ่งพอละครออนแอร์ไป มันได้ตามโจทย์ที่เราคาดหวังไว้ไหม 
    "ผมโอเคนะผมว่า โอเคในความรู้สึกของการเป็นผู้กำกับแล้ว งานทุกงาน สิ่งที่ออกมาโอเคหมด"