บันเทิง

'ฉอด' โปรเจกท์ดีดีออกมานอกจอ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"ฉอด" สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา จาก "รักซึมเศร้า" สู่การ "สำรวจใจ" โปรเจ็กท์ดีดี ที่สานต่อจากซีรีส์

         บันเทิง คมชัดลึก - ทำซีรีส์ป้อนช่องโทรทัศน์มา 11 ซีซั่นแล้วสำหรับ “คลับฟรายเดย์เดอะซีรีส์” ซึ่งซีซั่นล่าสุดกับตอน “รักซึมเศร้า” ที่นำแสดงโดย “นุ่น” วรนุช และ “ซี” ศิวัฒน์ ที่เล่าถึงความรักของผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งโรคดังกล่าวถือว่ากำลังเป็นโรคที่ผู้คนในสังคมหลายคนเป็นและเกิดเป็นโศกนาฏกรรมมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง จากเรื่องราวในจอทำให้ “ฉอด” สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เช้นจ์ 2561 จำกัด ผู้ผลิตซีรีส์ดังกล่าวได้ตระหนักถึงเรื่องราวดังกล่าว จึงได้นำเรื่องราวดังกล่าวจากในจอออกมานอกจอ เพื่อส่งผ่านไปยังผู้ที่กำลังประสบปัญหาดังกล่าวโดยบันเทิง “คม ชัด ลึก” มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารชื่อดังถึงเรื่องนี้

 

 

@ ซีรีส์คลับฟรายเดย์เดินทางมา 11 ซีซั่นแล้ว

         “คลับฟรายเดย์เดอะซีรีส์ ตอนนี้มาถึงซีซั่น 11 แล้ว เพิ่งเริ่มเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เอง เราให้ชื่อว่า “รักที่ไม่ได้ออกอากาศ” ซึ่งปกติแล้วคลับฟรายเดย์เดอะซีรีส์จะมาจากคลับฟรายเดย์ที่เป็นวิทยุ คือมีคนโทรศัพท์เข้ามา แล้วเราก็นำเอากรณีเหล่านั้นมาทำเป็นละคร โดยตอนแรกที่ทำใช้ชื่อว่า “รักซึมเศร้า” ปัญหาที่เป็นโรคซึมเศร้าหรือฆ่าตัวตายมันจะเยอะมากและก็มากขึ้นเรื่อยๆ เลยจับประเด็นเรื่องนี้ พอดีมีน้องที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แล้วมีผลต่อความรักของเขาอย่างไร ตอนนี้เราได้นุ่น (วรนุช ภิรมย์ภักดี) และซี (ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์) มาแสดงร่วมกัน และพอเราได้ทำก็เลยอยากทำกิจกรรม เพราะมีคนที่สงสัยตัวเองเยอะ

         ละครเรื่องนี้กำลังจะบอกว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าบางทีไม่มีใครรู้ตัวผู้ป่วยเองบางทีก็ไม่รู้ตัว ดังนั้นพฤติกรรมใดๆ ที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปซึ่งคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีความรู้เรื่องเหล่านี้ และด้วยความไม่รู้บางทีคนรอบๆ ตัวอาจจะไปแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นการกระตุ้นให้อาการของโ6รคเขาหนักขึ้น เราก็เลยเปิดคอร์สขึ้นมาเพื่อให้คนที่ดูเรื่องนี้สมัครกันเข้ามา เราก็จะทำเป็นหลักสูตรสั้นๆ ใช้ชื่อว่า “สำรวจใจ” เพราะโรคซึมเศร้านั้นพี่กับพี่อ้อยจะทำด้วยตัวเองไม่ได้ เพราะเราไม่ได้มีความรู้ เราไม่ได้เป็นหมอ ก็พอดีเรามีหมอเอิ้น (พญ.พิยะดา หาชัยภูมิ) ซึ่งเป็นจิตแพทย์ ซึ่งเอิ้นจะทำงานร่วมกับคลับฟรายเดย์เยอะ เพราะเอิ้นจะแต่งเพลงด้วย ทำอะไรหลายๆ อย่าง เลยชวนเขามาทำร่วมกัน โดยคนที่สมัครเข้ามาแล้วให้พูดถึงเหตุผล 3 ประการที่เขาสงสัยตัวเองว่ากำลังเป็นโรคซึมเศร้าแล้วเราจะคัดเลือกแค่ 40 คน มันเป็นหลักสูตรสั้นที่เราจะได้สำรวจใจตัวเองว่าอาการที่เราเป็นอยู่ตอนนี้เป็นอย่างไร มาทำความรู้จัก ทำความเข้าใจกับโรคซึมเศร้าว่าโรคนี้เป็นอย่างไร

 

'ฉอด' โปรเจกท์ดีดีออกมานอกจอ

 

@ ทำไมถึงผุดไอเดียเกี่ยวกับการสำรวจโรคซึมเศร้าขึ้นมา

         “หลักสูตรสำรวจใจนั้นมันเป็นกิจกรรมเล็กๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งแค่นั้นเอง ถามว่าเราได้อะไร มองว่ามันคือส่วนหนึ่งของอาชีพของเรา ไม่ว่าจะเป็นดีเจจัดรายการ ไม่ว่าจะเป็นทำละครซีรีส์ แต่นอกเหนือจากตรงนั้นก็เป็นเรื่องดีที่เรามีโอกาสได้ช่วยในเรื่องของการดูแลหรือจัดการกับสภาพจิตใจ ว่าสังคมในปัจจุบันนี้เรามีปัญหาสังคมมากมายเหลือเกิน ยิ่งสังคมวันนี้โซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลมาก กับการที่เราพูดจารุนแรงใส่กัน การที่เราทำร้ายกันโดยบางทีคนทำก็ไม่รู้ตัว บางทีคนที่ทำก็เจ็บป่วยทางด้านจิตใจอยู่และลุกขั้นมาแสดงอาการต่างๆ นานา ให้คนอื่นเจ็บปวดเหมือนที่ตัวเองเป็นอยู่ เราจะเจอสภาวะนี้เยอะมาก และก็จะนำไปสู่ปัญหาใหญ่ๆ การเป็นโรคซึมเศร้าหรือเป็นโรคต่างๆ นานา ตอนนี้เราทำบริษัท เช้นท์ 2561 (Change2561) เราคุยกันว่าวันนี้เราคงไม่สามารถที่จะเปลี่ยนโลกเปลี่ยนสังคมได้ แต่เมื่อกิจกรรมใดๆ ที่เราทำมันสามารถเปลี่ยนวิธีคิดของคนได้ เราเชื่อว่าแค่เปลี่ยนวิธีคิดบางทีชีวิตก็ดีขึ้นแล้ว ถ้าสิ่งที่เราทำสามารถทำให้คนเปลี่ยนความคิดแค่นั้นเราก็แฮปปี้ เริ่มต้นด้วยการสำรวจตัวเองก่อนว่าสิ่งที่เราเป็น ณ วันนี้มันคืออะไร อยู่สภาวการณ์แบบไหน หนักหนาอย่างไร ส่วนขั้นตอนต่อไปก็คือแล้วเราจะจัดการอย่างไรต่อไป ซึ่งกิจกรรมนี้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย

 

'ฉอด' โปรเจกท์ดีดีออกมานอกจอ

 

@ จากที่ได้สัมผัสคิดว่าโรคซึมเศร้านั้นอันตรายมากแค่ไหน

         “อันตรายหมดแหละ เพราะอย่างน้อยๆ ในชีวิตคนคนหนึ่งถ้าเขามีวิธีคิดไปในทางลบเขาก็จะปล่อยกระแสลบกับคนอื่นด้วย และก็คงทำให้สังคมเราแย่ลง เพราะแค่อัตราของคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า อัตราของคนที่ฆ่าตัวตายถ้ามันเยอะขึ้นเรื่อยๆ สังคมไทยเราก็คงจะแย่ไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้มีผู้คนที่เป็นโรคซึมเศร้ากันเยอะ ทั้งศิลปิน ดาราและคนทั่วไป ต้องเข้าใจก่อนว่าคำว่าโรคมันก็คือโรค มันเหมือนสารเคมี ไม่เกี่ยวว่าเขาอยากหรือไม่อยาก ชีวิตดีหรือไม่ดี ขนาดคนที่ชีวิตดีงามทุกอย่างยังเป็นโรคซึมเศร้าได้ ไม่ใช่คนที่มีชีวิตแย่เท่านั้นถึงเป็นได้ คนที่มีชีวิตดีๆ ก็เป็นได้เช่นเดียวกัน สิ่งที่ต้องการคือการไปหาหมอ รักษาถูกต้องตามวิชาการ เราช่วยรักษาไม่ได้ ทำได้เพียงแค่รับรู้รับฟัง แต่การรักษาที่ถูกต้องคือการไปพบแพทย์ กิจกรรมที่เราทำถึงได้เอาหมอเอิ้นมาทำหน้าที่เป็นวิทยากรตรงนี้ พี่อ้อยพี่ฉอดเป็นแค่คนที่นำพา พวกเขาเหล่านี้มาเปิดโอกาสให้เขาได้พบแพทย์ ได้รักษาและเรียนรู้วิธีการที่ถูกต้องเพื่อที่จะรักษาต่อไป หลักสูตรที่เราทำขึ้นมาทำให้เข้าใจสภาวะจิตใจของตัวเองก่อนว่ามันคืออะไร และอยู่ในสภาวการณ์แบบไหน และในวันนี้เราควร และเขาควรจะจัดการตัวเองอย่างไร บางคนอาจจะแค่ดูแลตัวเอง บางคนอาจจะแค่แชร์กับอื่น บางคนอาจจะแค่ได้พูดคุย บางคนอาจจะต้องไปหาหมอแล้ว บางคนอาจจะอายไม่อยากเปิดตัว คือต้องเข้าใจก่อนว่าโรคเราวันนี้เจริญก้าวหน้าต้องเข้าใจว่าการเดินไปหาหมอทางด้านจิตใจ หรือจิตแพทย์มันไม่ได้บอกว่าเป็นบ้า มันมีโรคเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรอีกเยอะมาก นี่ก็เป็นโรคที่เกี่ยวข้องด้วยจิตใจ เราก็ต้องทำความเข้าใจกันว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าอาย เหมือนเราเป็นหวัดมันเป็นแค่โรคๆ หนึ่งเท่านั้นเอง

 

@คิดว่าวิธีแก้ปัญหาหรือช่วยบรรเทาคนที่เป็นโรคซึมเศร้าด้วยตัวเอง

          “เราว่าศาสนาก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด บางทีเราได้ฟังคำสอนพระท่านที่ว่าให้มีสติ มันก็ใช้ได้หมดกับชีวิต ไม่ว่าวันนี้จะป่วยหรือไม่ป่วย ต้องใช้สติในการดำรงชีวิตกันให้มากขึ้น มีบ่อยครั้งที่เราทำทุกอย่างตามอารมณ์และความรู้สึก วันนี้เวลาโกรธเราก็ด่าด้วยวิธีต่างๆ นานา บางทีเราก็ทำแค่ให้เราดีขึ้น แต่เราไม่ได้มีสติพอที่จะคิดว่าสิ่งที่เราปล่อยออกไปนั้นทำให้คนอื่นรู้สึกอย่างไรกันบ้าง วันนี้เราด่ากันง่ายมาก บางทีเรายังไม่รู้จริงในเรื่องราว แสดงความคิดเห็นในสิ่งที่เราไม่เห็น แสดงความรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ กับคนบางคนเราก็ด่าทอถึงขั้นหยาบคาย ตัดสินชีวิตคนอื่นเราสามารถทำร้ายความรู้สึกคนอื่นด้วยวิธีเหล่านี้ได้มากมาย ถ้าสมมุติว่าคนที่เราด่านั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด หรือเขาเป็นแต่เขาป่วย การที่เราด่าเขามันช่วยให้อะไรดีขึ้นเหรอ วันนี้เราอาจจะรู้สึกว่าการที่เราด่าคนอื่นมันคือการทำดี แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ คนที่ด่ากันในทุกวันนี้มีโอกาสน้อยมากที่ได้สัมผัสกับเรื่องจริง แล้วบางทีก็ไม่รู้หรอกว่าในความผิดพลาดใดๆ ในแต่ละคนที่ได้ทำนั้น มันยังมีเหตุผลอีกมากมาย ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนชั่วคนเลวอย่างเดียว วันนี้้เราเหมือนสนใจแต่ความรู้สึกของตัวเอง ไม่ได้สนใจความรู้สึกของคนอื่น สิ่งเหล่านี้มันเป็นบรรยากาศเสีย สังคมเรา ชีวิตเราไม่ได้ดีขึ้นด้วยการด่าทอกัน

          เราต้องเรียนรู้พลังเชิงบวกของกันให้มากกว่านี้ด้วย การให้โอกาสหรือการชื่นชมกันมันจะทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น หรือคนที่รู้สึกแย่มันดีขึ้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของการมีสติและการคิดในหลายๆ มุม หากเราจะเริ่มบริหารการจัดการตัวเอง เราต้องเริ่มจากการมีสติก่อน ในทุกๆ เรื่องก่อน ไม่ว่าเราจะเป็นผู้กระทำหรือเป็นผู้ถูกกระทำก็ตาม อยู่ดีๆ วันหนึ่งเราอาจจะถูกด่าด้วยใครก็ไม่รู้ ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ดังนั้นเมื่อเป็นผู้กระทำก็ต้องมีสติ เมื่อเป็นผู้ถูกกระทำก็ต้องมีสติเหมือนกัน ในการที่ต้องบริหารจิตใจของตัวเอง เพราะเอาเข้าจริงแล้ว คำเหล่านั้นไม่ได้มีผลอะไรในชีวิตเรา เราเองต่างหากที่ต้องควบคุมชีวิตตัวเองให้ได้ ถ้าสิ่งที่เขาด่าทอมาเป็นเรื่องจริงเราก็แก้ไขมัน ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงก็ไม่มีผลต่อชีวิตเรา เราก็ทำชีวิตเราให้มันดีต่อไป ทั้งหมดต้องใส่สติ"

เรื่อง เสาวลักษณ์ ปึงทมวัฒนากู

 

'ฉอด' โปรเจกท์ดีดีออกมานอกจอ

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ