บันเทิง

คุยกับ 'ปราโมทย์ แสงศร'  

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"ชีวิตคนที่น้ำเน่ากว่าละคร" คำบอกเล่าจากปาก "ปราโมทย์ แสงศร"

         หายหน้าหายตาจากจอแก้วไปนานสำหรับ “โมทย์” ปราโมทย์ แสงศร ล่าสุดกลับมารับงานแสดงอีกครั้งในซีรีส์เรื่อง “ตี๋ใหญ่ 2 ดับเครื่องชน” ของ 4 ผู้จัดมากฝีมืออย่าง “ตั๊ก" นภัสรัญชน์ "ป๊อก" ปิยธิดา มิตรธีรโรจน์ "ผู้พันเบิร์ด" พ.อ.วันชนะ สวัสดี และ "ปีเตอร์" นพชัย ชัยนาม ในนามของ บริษัท กลมกล่อม โปรดักชั่น จำกัด ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับนักแสดงหนุ่ม เมื่อสอบถามว่าหายหน้าหายตาไปไหนในช่วงที่ดังสุดๆ ซึ่งหนุ่มโมทย์กล่าวแจงง่ายๆ ว่า 

คุยกับ 'ปราโมทย์ แสงศร'  

         “หายไปทำงานเบื้องหลังมาก แต่ก็ยังรับแสดงอยู่นะ เพียงแต่เป็นละครเวทีเฉพาะกลุ่ม เป็นเธียเตอร์เล็กๆ ซึ่งจุคนได้ 60 คน นอกจากงานแสดงก็มีเขียนบทและเตรียมงานหนังใหญ่ ส่วนสาเหตุที่ไปทำเบื้องหลังก็ไม่มีเหตุผลอะไร มันเป็นช่วงหักดิบ คือผมเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ว่าจะเริ่มเป็นหนักๆ ตอนที่รับงานแสดงที่คล้ายๆ เหมือนเดิม บทเดิมๆ มันก็จะมีความเหนื่อย ละครก็ไม่อยากเล่น เล่นเสร็จก็จะไม่อยู่กับใคร ก็จะปลีกตัวออกมาอยู่คนเดียว ตอนนั้นเรียกว่าป่วยระดับหนึ่ง เพราะมันไม่มีความสุขในการทำงาน ตอนนั้นกำลังวัยรุ่นมากก็อาจจะใจร้อน คือช่วงนั้นรู้สึกไม่อยากทำเบื้องหน้าแล้ว อยากไปทำเบื้องหลังลองไปทำหนังสั้นดู ก็ไปเจอกลุ่มคนกลุ่มอื่นๆ ว่าเป็นอย่างไร ตอนนี้มองกลับไปก็รู้สึกว่าตัวเองวางชีวิตแปลกๆ (หัวเราะ) พอถอยออกมา มันก็มีทั้งมุมที่ดีและไม่ดี ถามว่าเสียดายเวลาที่ผ่านมาไหม ก็ไม่รู้สึกเสียดายนะ เพราะเราได้เรียนรู้ชีวิตอีกด้านหนึ่ง ได้เรียนรู้ชีวิตคนมากขึ้น รู้จักคนมากขึ้นและไม่ได้รู้จักเฉพาะคนที่อยู่ในวงการการแสดงอย่างเดียว”

@ ช่วงนั้นใช้ชีวิตอย่างไรเพราะข่าวหายไปเลย

         “คือถ้าคนที่ไม่ได้ติดตามผมก็จะรู้สึกว่าผมหายไปเลย แต่ถ้าคนไหนติดตามและเสพงานอีกแบบหนึ่ง ก็จะรู้ว่าผมยังทำงานเบื้องหลัง ยังทำงานแสดงอยู่ เพราะตัวผมเองก็รู้สึกว่าไม่ได้หายไปไหน ช่วงนั้นได้ทำหนังประกวดด้วย ก็หายไปหาทุนทำหนัง ตอนนั้นได้เดินทางเยอะ ได้เจอโลกกว้าง ได้เจอกลุ่มคนที่คิดคล้ายๆ กัน คือหนังที่ผมทำเป็นหนังอิสระหรือจะเรียกว่าหนังอินดี้ก็ได้เรื่อง ผมมีโอากาสได้ไปฝรั่งเศส เพราะได้รับทุนจากโครงการคานส์ เรซิเดนซ์ ซึ่งปีนั้นเป็นครั้งแรกที่มีคนไทยได้รับทุน 2 คนคือผมและ “กานต์” ศิวโรจน์ คงสกุล ผู้กำกับหนังเรื่อง “ที่รัก” ส่วนคนอื่นๆ ที่ได้รับทุนเดียวกันนั้นเป็นคนยุโรป ตอนนั้นเราก็ได้ไปเรียนรู้ ไปเปิดโลกทัศน์ เราก็พยายามให้ตัวเองมีระเบียบวินัยมากขึ้น ทั้งเรื่องการเขียนบท ทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ แต่ก็มีช่วงขี้เกียจ ตอนนี้ก็พยายามจะกลับมาหาทุนเพิ่มเพื่อทำหนังให้เสร็จ

คุยกับ 'ปราโมทย์ แสงศร'  

@ ได้อะไรกลับมาบ้าง

         “ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ แต่สิ่งสำคัญคือการที่เราได้สำรวจตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม ผมเข้าใจชีวิตคนมากขึ้น เพราะใช้ชีวิตมากขึ้น เข้าใจการแสดงมากขึ้น เพราะได้เจอคนเก่งๆ ได้กลับไปมองในสิ่งที่เราเคยทำ เคยแสดง มันทำให้เรารู้สึกว่าที่ผ่านมามันเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดง รวมถึงการใช้ชีวิตกับเพื่อนในบางแง่มุม ชีวิตกับค่ายเพลง ชีวิตกับตัวเอง คนรอบข้าง ครอบครัว ผมว่าพอเราโตขึ้นมันก็ทำให้เราเรียนรู้มากขึ้น ยิ่งผมได้มาทำงานเบื้องหลังก็ทำให้เรารู้เลยว่า ที่ผ่านมาเราเป็นอย่างไร และคนเบื้องหลังเขาเหนื่อยกับเราอย่างไร ที่ผ่านมาเราไม่ได้รู้สึกว่ายังมีคนอีกหลายคนที่พยายามดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอดในโลกใบนี้” 

@ เล่นละครเรื่อง “ตี๋ใหญ่ 2” เพื่อหาทุนไปทำหนังใช่ไหม

       “ไม่เกี่ยว (หัวเราะ) อันนี้เป็นทุนในการดำรงชีวิต ตอนที่รับเล่นเรื่องนี้ก็คิดหนักอยู่ คือก่อนหน้านี้ผมเคยร่วมงานกับปีเตอร์ (นพชัย ชัยนาม) ตอนนั้นผมเคยไปทำบันทึกกรรมให้ช่อง 3 แล้วชวนปีเตอร์มาเล่น ซึ่งเขาก็มาเล่นให้ พอเขาทำละครเขาก็เลยติดต่อมาหาผม ถามว่ารับเลยไหม อยากจะบอกว่าคิดนานมาก (หัวเราะ) เพราะตอนนั้นผมเล่นละครเวทีอยู่ ก็ชวนเขาไปดู กว่าจะรับเล่นคุยกันหลายรอบมาก ส่วนสาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจรับแสดงเรื่องนี้ อย่างแรกเป็นเพราะบท คือตั้งแต่เด็กผมอยากเล่นบทเป็นคนเพี้ยนๆ แบบนี้ มีโลกส่วนตัว คือตัวละครตัวนี้มันมีอยู่ในตัวของคนทุกคน แต่มันอาจจะอยู่อีกด้านหนึ่งของคน เป็นด้านมืดของคนที่ไม่ได้แสดงออกมา แต่ผมต้องแสดงออกมา ในเรื่องเป็นตัวโกง เป็นคนละกลุ่มกับสมชาย ไม่ถูกกัน ส่วนชีวิตจริงถามว่าสนิทกับสมชายไหมก็สนิทนะ เป็นเพื่อนในวงการ คือมีสมชายคนเดียวที่ผมสนิทที่สุด คือรู้จักกันมานานมาก 20 ปีได้ ตั้งแต่หนังเรื่องโลกทั้งใบฯ ได้มาร่วมงานกันอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าต่างคนต่างเข้าใจการแสดงมากขึ้น และโตกันมากขึ้น และรู้สึกดี มันเหมือนเป็นวาสนา คงได้ทำบุญร่วมกันมา (หัวเราะ) คือแค่ได้เจอกันมันก็เรียกได้ว่าเป็นวาสนา แต่พอได้เจอกันอีกรอบมันเป็นความมหัศจรรย์ของชีวิต

คุยกับ 'ปราโมทย์ แสงศร'  

@ ก่อนหน้ามีข่าวลือว่าเป็นชาวสีม่วง เพราะเคยให้สัมภาษณ์ว่าจะคบเพศไหนก็ได้ 

         “อ๋อ...ตอนแรกแค่อยากประชดนักข่าว ตอนตอบ เขาก็ทำหน้างงๆ กัน ถามว่าจริงเหรอ เอาจริงๆ ผมก็รู้สึกดีทั้งผู้ชายและผู้หญิงนะ ส่วนสถานะตอนนี้ผมก็โสด ถามว่าถ้ามีแฟนจำเป็นต้องเป็นผู้หญิงไหมก็ไม่จำเป็นนะ เพราะผมเคยคบทั้ง 2 แบบ และมันก็มีทั้งความสุขและความเจ็บปวดทั้ง 2 แบบ เพราะมันเป็นความรัก อย่างตอนที่บวงสรวงละครเรื่องตี๋ใหญ่ 2 มันเป็นช่วงที่ผมเลิกกับแฟนไปแล้ว เราก็แค่รู้สึกอยากพูดตอนนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าผมอยากพูดเรื่องนี้ตลอดเวลา หลังจากวันนั้นมีคนติดต่อไปออกรายการเยอะมาก แต่ผมไม่ไป เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าถ้าเราไปก็ต้องไปตอบเขาเรื่องนี้ บางทีเราก็ไม่อยากให้ใครไปรู้ลึกกับการสัมภาษณ์เพียงแค่วันเดียว เพราะมันไม่สามารถจะรู้ได้หรอกว่ามนุษย์คนหนึ่งมันผ่านอะไรมาบ้าง ทำไมถึงตัดสินใจแบบนั้น บางทีเราอาจจะงงตัวเองด้วยซ้ำว่าทำไมถึงตัดสินใจแบบนั้น  มันก็ตอบยาก แต่เราก็ไม่ได้แอนตี้ว่าต้องเป็นกะเทย เป็นตุ๊ด ผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้ามันรู้สึกดี...ผมว่าความรักมันก็สวยงามเสมอ อยู่ที่ว่าคนสองคนจะจัดการระเบียบความรู้สึกกันอย่างไร เพราะที่ผมเจอมันก็โหดร้ายมากๆ เท่าที่เจอมาแล้ว ผมใช้เวลา 2 ปีกว่าจะทำใจ”

@ รักครั้งนั้นจริงจังถึงข้้นแต่งงานไหม

          “อยากใช้ชีวิตคู่กันยาวๆ ตอนนั้นผมทำงานที่ไทย ส่วนเขาไปเรียนต่อที่อเมริกา ไปเรียนทำอาหาร แล้วเขาไปเจอคนใหม่ที่นั่น และเขาไม่ยอมบอกอะไรเราเลย จนเพื่อนทนไม่ไหว เพื่อนเป็นคนมาบอก สุดท้ายคือเขาก็ไปแต่งงานกับฝรั่ง ตอนที่ผมทราบข่าวผมก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะผมไม่สามารถจะขับรถไปกอดเขา ไปจ้องหน้าเขา ไปถามเขาว่ารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ใช่ไหม ความรักพอมันหมดก็คือหมด ตอนนั้นผมอึดอัดมาก อึดอัดเสียจนอยู่ในที่แคบๆ ไม่ได้เพราะหายใจไม่ออก ผมรู้แค่ว่าผมต้องไปหาที่กว้างๆ และที่กว้างๆ ในกรุงเทพฯ มันคือปั๊มปตท. คือถ้าเป็นทะเลก็จะหล่อๆ หน่อยใช่ไหม แต่ผมอยู่ปั๊มปตท.แถววิภาวดี ก็เลยตัดสินใจคุยกับเพื่อน ซึ่งผมมีเพื่อนที่สนิทอยู่ที่อเมริกา บอกเขาว่าจะไปอเมริกา แต่เพื่อนบอกว่า “มึงจะมาทำไม มาก็ได้ประโยชน์อะไร มาเพื่ออะไรเพราะเขาหมดรักมึงแล้ว” มันก็เลยเป็นครั้งที่อึดอัดที่สุดในชีวิต ผมถึงไม่ชอบละครดราม่าเพราะชีวิตคนเรามันน้ำเน่า ผมไม่เคยเชื่อว่าละครมันจะทำได้น้ำเน่าเท่าชีวิตจริง คือมันไม่มีใครทำถึงได้อยู่แล้ว สุดท้ายเราไม่ชอบอะไรก็จะโดนกับตัวเอง แต่ความรักมันก็ยังสวยงาม ความรักมันก็คือความรัก มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราอย่าไปโทษมัน ตอนนี้ผมก็คิดว่าชีวิตแบบนี้น่าจะเหมาะกับผมมากกว่า เป็นอิสระดี เพราะผมรู้สึกว่าการแต่งงานมันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก มันต้องเสียสละ เวลาไปไหนก็จะทำตัวลำบากนิดหนึ่ง อย่างไปต่างประเทศก็ลำบาก และต้องมีความรับผิดชอบมาก ตอนนี้ก็ยังไม่มีความรับผิดชอบขนาดนั้น” 

เรื่อง เสาวลักษณ์ ปึงทมวัฒนากูล

ภาพ กอบภัค พรหมเรขา

คุยกับ 'ปราโมทย์ แสงศร'  

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ