เปิดใจ "บอสวศิน" กับผู้หญิงคนสำคัญในชีวิต
ใครจะเชื่อว่านักแสดงหนุ่มหน้าใสอย่าง “ฟิล์ม”ธนภัทร กาวิละ ที่เคยผ่านงานแสดงมาบ้างแล้ว แต่วันนี้กลับสร้างปรากฏ “สามีแห่งชาติ” ในกับวงการละครบ้านเราอีกครั้ง จากบทบาทของ “บอสวศิน” ในละครเรื่อง “เมีย 2018” ซึ่งครั้งนี้ “บันเทิงคมชัดลึก” มีโอกาสไดนั่งพูดคุยกับหนุ่มฟิล์มถึงเรื่ิองราวชีวิตกว่าจะมีวันนี้ !!
@@ พูดถึงความโด่งดังของ “บอสวศิน” จนถูกเรียกว่าเป็น “สามีแห่งชาติคนล่าสุด”
“ดีกว่าที่ผมคาดหวังไว้เยอะมากๆ มันทำให้ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ตั้งใจทำมาทั้งหมด ตั้งแต่เราลาออกจากงานเก่า (การเป็นสจ๊วต) แล้วมาทำงานด้านการแสดงเต็มตัว สิ่งที่เราตั้งใจมันประสบความสำเร็จแล้ว ความพยายามที่ทุ่มเทลงไปมันมีค่าแล้ว ยกภูเขาออกจากอกวันนี้มันมาถึงแล้ว วันที่ทุกคนเห็นค่าความตั้งใจของเรา”
@@ ตัดสินใจนานไหมว่าจะเลิกอาชีพ “สจ๊วต”
“ผมมีเวลาตัดสินใจไม่นานนะ ได้คิดแค่สัปดาห์สองสัปดาห์ด้วยองค์ประกอบอะไรหลายๆ อย่างด้วย สุดท้ายแล้วผมรู้สึกว่า ชีวิตของคนเรามันจะมีค่ามากหากได้ทำตามความฝันของตัวเอง มันจะประสบความสำเร็จหรือไม่เราไม่รู้ แต่ว่าเราได้ทำแล้ว เมื่อเราแก่ไปเราจะได้ไม่เสียดายชีวิตวัยเด็กหรือวัยรุ่นที่เราอยากทำ”
@@ “ฟิล์ม” ฝันอยากเป็นนักแสดงมาตั้งแต่แรกเลย
“จริงๆ ผมฝันอยากเป็นนักร้อง มีโอกาสไปเรียนร้องเพลง แต่ก่อนผมเป็นคนที่ร้องเพลงแย่มาก (ยิ้ม) เพี้ยนคีย์ตลอด จนแล้วจนรอด แม่ผลักดันให้ไปประกวดเดอะสตาร์ ความกล้ายังไม่มี จนตอนนี้เดอะสตาร์ไม่มีแล้ว (ยิ้ม) ที่จริงมันก็มีนะ แต่ว่าผมเข้ามาโครงการรักฝุ่นตลบของช่องวัน ไม่ได้ไปประกวดเดอะสตาร์ไม่เป็นไร อย่างน้อยมันก็เป็นอีกหนึ่งความฝันกับการได้เป็นนักแสดง เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงเต็มตัว ถามว่ายังอยากเป็นนักร้องอยู่ไหมอยากนะ (ยิ้ม) เราได้อยู่กับเสียงเพลงมันคือความสุขของเรา”
@@ เมื่ออยากเข้าวงการ ทำไมตัดสินใจไปสมัครเป็นสจ๊วตก่อนล่ะ
“ด้วยความที่บ้านไม่สามารถสนับสนุนเรื่องเงินได้ ผมเลยต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง รู้สึกว่าถ้าผมเรียนจบปริญญาตรีแล้วเข้าไปทำงาน ด้วยใบปริญญาตรีสตาร์ทงานที่เงินเดือน 15,ooo ไม่ถึง 20,000 บาท เงินแค่นั้นไม่สามารถทำให้ที่บ้านสบายได้ ผมรู้สึกว่ามันจะมีอาชีพอะไรอีกที่เราแล้วมันจะช่วยที่บ้านได้ เลยตัดสินใจเอาเงินเก็บก้อนสุดท้ายของตัวเองไปเทคคอร์สภาษาอังกฤษไปเรียนครึ่งปี มันคือการทุบหม้อข้าวตัวเอง ผมรู้สึกว่าจะไม่หันหลังกลับไปทางเดิมอีกแล้วแน่นอน ก่อนหน้านี้ผมใช้ชีวิตแบบเด็กแตะฝุ่น รองานแสดงๆไม่มี มันรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องทำอะไรบ้างอย่าง ไม่ใช่จะมาใช้ชีวิตแบบนี้ มันรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองไม่มีึค่า แล้วจังหวะนั้นมีสายการบินเปิดพอดี ผมไปสมัครและโชคดีที่ได้”
@@ ตอนนั้นท้อใจมากน้อยขนาดไหน
“ท้อหลายครัั้งและท้อมาก แต่สุดท้ายบอกตัวเองว่าห้ามยอมแพ้ สู้ต่อมาเรื่อยๆ (ตอนที่ท้อหนักๆ ที่บ้านบอกไหมว่าเลิกทำเถอะ) มีนะ แต่ผมยังเลือกที่จะขอทำตามความฝันของตัวเอง แล้วผมคิดแค่ว่าอีกแค่หนึ่งปีพอแล้วนะ แต่อยู่มาได้ครึ่งปีกลับมาคิดว่าเราจะมาใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ได้แล้ว ผมไม่ได้มองแค่ชีวิตตัวเองนะแต่มองถึงชีวิตของคนในครอบครัวคนที่เขาเลี้ยงเรามาเพื่อวันหนึ่งเราจะหาเงินได้แล้วมาช่วยเหลืิอเขา สำหรับผมๆ คิดแค่ว่าไม่อยากให้ที่บ้านลำบากไม่อยากให้แม่ลำบากอีกแล้ว ครอบครัวของผมมีฐานะปานกลาง และไม่ได้สนับสนุนเราขนาดนั้น อีกอย่างผมเป็นคนจ.สระบุรี เวลามาเรียนกรุงเทพต้องอาศัยอยู่กับพี่ชายแท้ๆ จะไปไหนมาไหนผมต้องออกค่าใช้จ่ายเอง เงินเราก็ค่อยลดน้อยลงทุกที จริงๆ ผมไปสมัครงานและมีคนเรียกนะ แต่ผมไม่เอางานเลยนะ เพราะผมอยากทำตามความฝันของตัวเอง พอวันหนึ่งเรามองโลกจริงๆ เราไม่สามารถทำแบบนั้นได้แล้ว เราไม่ได้มีแค่ตัวเราคนเดียว เพราะเรายังมีคนข้างหลังที่เราต้องทดแทนบุญคุณเขา จนวันหนึ่งเราต้องเลือกว่าเรายังอยากทำตามความฝัน แล้วเราไม่สามารถทำงานสองอย่างควบคู่กันได้ จะไปใด้ไม่สุดสักทาง ผมเลยตัดสินใจลาออกมาทำตามความฝันและทุ่มเทไปกับมัน ผมมาคุยกับที่บ้าน แม่บอกว่าให้ผมไปทำตามความฝันเถอะ ไม่ว่าเราจะล้มจะลุกอย่างไร เขาอยู่ข้างเรา”
@@ ประเดิมละครเต็มเรื่องแรก
“ละครเรื่องแรกก็คือเสน่หาไดอารี่ ซึ่งเล่นยากกว่าที่คิด มันไม่ได้อาศัยแค่หน้าตา ใครอยากหล่อก็ไปหาหมอทำศัลยกรรม แต่ว่าเสน่ห์ของแต่ละคนมันเป็นเรื่องที่มีความเฉพาะตัวมากกว่านะ เราต้องผ่านประสบการณ์ด้านการแสดงมันถึงจะดึงเสน่ห์ออกมาได้ วันแรกที่แสดงเสน่หาไดอารี่ นักแสดงทุกคนเชี่ยวมาก ทั้งพี่ป้อง (ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์) พี่อ้อม (พิยดา จุฑารัตนกุล) แล้วที่หนักสุดก็คือพี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) เป็นคนกำกับ พี่ป้องกับพี่อ้อมดูเบาไปเลย (ยิ้ม) พอเจอพี่บอย ทุกคนก็จะบอกว่าพี่บอยกำกับนะ (เสียงยาว) หนักใจสุดเลย เพราะว่าเป็นละครเต็มตัวของเราเรื่องแรก แล้วเจอพี่บอยรู้สึกเครียดจริง ยอมรับว่าเราใหม่มากกับการแสดง เวลาเข้าฉากจะมีความเครียดๆ ทัั้งบทและเครียดทั้งพี่บอยด้วย วิธีผ่อนคลายของผมก็คือพยายามมีสติเยอะๆ เรื่องนี้ทุกคนเล่นดีหมด ยกเว้นผม (หัวเราะ) เราเป็นจุดอ่อนและเป็นหลุมดำของเรื่อง พอมาเรื่องที่ 2 เรือนเบญจพิษ ก็มีเป็นคาแรกเตอร์เป็นผู้ชายซอฟๆ ผมได้เข้ากับนักแสดงรุ่นใหญ่เยอะ โดยเฉพาะพี่นุ่น (ศิรพันธ์ วัฒนจินดา) ก่อนเข้าซีนเราสองคนก็จะส่งพลังกัน”
@@ มาถึงเรื่อง “เมีย 2018” ถือว่าเป็นฉีกคาแรกเตอร์อีกครั้งหนึ่ง
“สำหรับผมเรื่องนี้ถือว่ายากมากๆ นะ เพราะด้วยคาแรกเตอร์จากหมออินหรือจะมาเป็นคุณเพชรก็ตาม เขาจริงใจคิดอะไรก็พูด โกรธก็แสดงออกไม่ชอบก็แสดงออก แต่ตัววศินเขาเป็นคนที่มีฟอร์มตลอดเวลา เลือกปฎิิบัติเวลาอยู่กับแม่จะดูซอฟ ยิ้มตลอดเวลา แต่พออยู่กับคนอื่นเหมือนเขามีเกาะป้องกันอะไรบางอย่าง”
@@ มองตัวเองในวันนี้
"อย่างที่บอกว่าสิ่งที่ตัดสินใจไปเมื่ออดีต มันประสบความสำเร็จมันหายเหนื่อยจริงๆ มันดีมันตื้นตัน มันอธิบายไม่ถูก วันที่ทุกคนชื่นชอบ คำพูดของแม่ผมพิมพ์ไลน์ดังใหญ่แล้วนะลูก แม่ดีใจด้วยนะ (น้ำตาซึม) มันไม่ใช่ดีแค่เราคนเดียว แต่เราเหน็ดเหนื่อยมากับแม่ เราผ่านความลำบากมาด้วยกันเยอะ มันเป็นวันของเรา จะมีอีกกี่วันที่แม่พิมพ์มาบอกแบบนี้ มันตื้นตันใจมากที่สุด แม่พิมพ์มาบอกว่า “สิ่งที่ลูกทำมันประสบความสำเร็จแล้วนะ สิ่งที่พยายามทำมันเห็นผลแล้วนะ แม่ยินดีกับลูกด้วยนะ” มันจุกอกอย่างบอกไม่ถูก"
@@ พอมาถึงวันนี้ได้ อยากขอบคุณใครที่สุด
“ผมอยากจะขอบคุณแม่ที่ไม่ทิ้งกันไปไหน เราลำบากเงินไม่พอใจ เป็นหนี้นอกระบบเราก็ผ่านมาแล้ว เราเคยชักหน้าไม่ถึงหลัง แม่จะบอกตลอดว่าใช้เงินประหยัดๆ นะ แม่ไม่ได้มีเงินสุรุ่ยสุร่าย เขาพูดเสมอแม่ยอมอดเพื่อให้ลูกอิ่ม เป็นคำพูดที่เตือนใจผมตลอดเวลา การเลี้ยงดูของแม่ให้เท่าที่จะให้ได้ เขาอยากให้ลูกมีเหมือนกับลูกคนอื่น แต่ว่าเขามีให้แค่นี้ วันเกิดกี่ปีแม่ไม่เคยซื้อของให้ผม ผมน้อยใจแม่มาตลอด แต่พอโตขึ้นมาถึงเข้าใจว่าเพราะอะไร ตอนนี้ผมมีวันนี้แล้ว แม่คือคนที่สำคัญที่สุดของความสำเร็จผมวันนี้”
สมกับฉายา “สามีแห่งชาติ 2018” จริงๆ
เรื่อง ภัทรวรรณ สุนทรธนานุกูล
ภาพ ศุภกฤต คุ้มกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง