คำสารภาพจากลูกผู้ชายที่ชื่อ “เพลิง” พลภัคค์ วัชรพงศ์หิรัญ เผยความทรงจำที่เจ็บปวด หลังเห็นภาพแม่ถูกโจรเอาปืนจ่อหน้าแต่ไม่สามารถช่วยได้
ทุกคนย่อมมีความทรงจำในอดีตที่ไม่สามารถลบเลื่อนได้ หากความทรงจำนั้นเป็นเรื่องราวที่ดีก็จะส่งผลให้จิตใจมีความสุขยามได้หวนรำลึกถึง ทว่าหากความทรงจำนั้นสร้างความเจ็บปวดแล้วล่ะก็ จะกลับกลายเป็มปมในใจ ที่ฝังรากลึกสร้างความร้าวร้าน เช่นเดียวกับนักแสดงหนุ่มดาวรุ่งคนนี้ “เพลิง” พลภัคค์ วัชรพงศ์หิรัญ ซึ่งหลายคนคงจำเขาได้ดีจากบทบทของ “เต๋า” ในเรืื่อง “ล่า” ตอนนี้เขามีผลงานแสดงเรื่อง กาหลมหรทึก โดยเจ้าตัวได้บอกเล่าเรื่องราวที่เป็นปมสำคัญในชีวิตและถือว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เขาหันมาเรียนศิลปะป้องกันตัว อาทิ มวย เทควันโด และเรียนกังฟู ให้กับ "บันเทิงคมชัดลึก" ฟังดังนี้
“ที่มาของการฝึกกังฟู คือผมชอบดูหนังจีนและก็สนใจพวกนี้อยู่แล้ว ส่วนจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมอยากจะฝึกมันอย่างจริงจังคือ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมและคุณแม่ คือมีอยู่ครั้งหนึ่งผมกับคุณแม่โดนปล้น ตอนนั้นเราก็เด็กมาก อายุประมาณ 11 ปี วันนั้นคือเดินไปทางข้าวกับคุณแม่ อยู่ดีๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งมาจอดตรงหน้าของแม่เรา ตอนนั้นเราก็คิดว่าเขาจะมากลับรถหรือเปล่า แต่เขามาจอดตรงหน้าคุณแม่เรา และคนที่ซ้อนก็เอาปืนมาจ่อหน้าของคุณแม่เรา เหมือนในหนังเลยแต่มันคือเหตุการณ์จริงๆ เลยนะ และตอนนั้นมันเวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ ก็ไม่ค่อยมีรถวิ่งแล้ว มันก็จะเงียบๆ หน่อย ซึ่งห่างจากหน้าบ้านประมาณแค่ 500 เมตรเอง พอเขาเอาปืนมาจ่อหน้าแม่ผม ผมก็จิตหลุดเลย ตอนนั้นหูอื้อ ก็เลยวิ่งไปได้ประมาณ 5 ก้าว ก็นึกขึ้นได้ว่าแม่ไม่ได้วิ่งมาด้วย แม่ยังยืนอยู่ที่เดิม และภาพที่หันกลับไป แม่ผมกำลังโดนกระชากสร้อยอยู่ ตอนนั้นผมกลัวมากเลย ผมไม่มีสติ และยังจำทะเบียนรถไม่ได้เลย แม่ผมก็ไม่ร้อง กลัวว่าโจรจะหันปืนมาทางผม มันเลยกลายมาเป็นปมว่าทำไมเราไม่สามารถปกป้องแม่ของเราได้เลย (ตาเริ่มแดง) และตั้งแต่วันนั้นมันเหมือนมีปมอยู่ในใจ ที่ไม่สามารถปกป้องใครได้ หลังจากวันนั้นผมก็ทำทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะไปหัดต่อยมวย ซ้อมเตะต้นกล้วยอยู่ที่บ้าน”
ความรู้สึกในวันนั้นจนถึงวันนี้ล่ะ
“ซึ่งในใจตอนนั้นผมโทษตัวองว่ามันคือของจริง มันเกิดขึ้นจริง คือเราจะพูดกับคนอื่นยังไงก็ได้ว่าเราเก่ง แต่นี่มันคือของจริง มันคือสิ่งที่เราต้องเผชิญ และพอเราเจอของจริง มันทำให้เราไม่มีสติ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือไม่ใช่วิชา ไม่ใช่กังฟู แต่มันคือสติมากกว่า เหตุการณ์อะไรก็เกิดขึ้นได้ถ้าเราไม่มีสติ และที่ผมทำทั้งหมดก็คือเพื่อลบปมความอ่อนแออันนั้นทิ้งไป และการที่ผมไปฝึกกังฟูคือแบบเตะต่อยได้จริงๆ และก็ไปเรียนเทควันโด้แบบจริงจัง หลังจากนั้นก็ไปเรียนกังฟูแบบจริงๆ เนื่องจากผมขึ้นรถเมล์แล้วไปเจอครูสอนกังฟูโดยบังเอิญ เพราะผมเห็นเขาพกกระบอกสามท่อนคุ้นๆ เหมือนฉากในหนังเลย เราเลยไปถามว่าเขาสอนกังฟูเหรอ และที่น่าตกใจไปอีกคือเขามาจากวัดเส้าหลิน และมาเปิดสอนที่เมืองไทย”
กลัวคนมองว่าเราเน้นใช้กำลังเพื่อตััดสินปัญหาไหม
“หลายคนอาจจะมองว่าเราฝึกเพราะต้องการใช้กำลังในการป้องกันตัว แต่ผมว่ามันไม่ใช่ คือมันเป็นการคิดในแง่ลบที่จะใช้กำลังในการตัดสินปัญหา จริงๆ ทุกครั้งที่ผมฝึกกังฟู ผมคิดตลอดว่าผมไม่ชอบการต่อสู้อะไรทั้งนั้น แต่ที่ฝึกก็เพราะเพื่อต้องการลบปมในใจกับเรื่องนี้ ต้องการปกป้อง คำนี้จะอยู่ในใจตลอด และมันแตกต่างกว่าคำว่าจะใช้กำลังแก้ไข แต่มันเป็นการใช้เพื่อจะปกป้องใครคนหนึ่ง อีกอย่างผมว่าอยู่ที่ทัศนคติและเป้าหมายของเรา เราไม่ได้ต้องการบอกทั้งโลกว่าเราเป็นมวย เราเป็นกังฟู และผมก็ไม่ได้วางตัวแบบนั้น และที่เราได้ฝึกมา มันทำให้ได้สติ ให้รู้ว่าเราได้ทำอะไรเพื่อจะปกป้องใครได้บ้าง”เพลิงกล่าวปิดท้าย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง