ประโยคแรกของ " “ตูน” อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ "ตูน บอดี้สแลม" เมื่อถึงกรุงเทพ
นับตั้งแต่นักร้องหนุ่ม “ตูน” อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ "ตูน บอดี้สแลม" ออกสตาร์ทเพื่อโครงการ “ก้าวคนละก้าว” เพื่อ 11 โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ป้ายใต้สุดแดนสยาม ปากอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ อ.เบตง จ.ยะลา เส้นทางกว่าจะมาถึงกรุงเทพ ใช้เวลาทั้งหมด 33 วัน รวมระยะทางที่วิ่ง 1200 กิโลเมตร ล่าสุด ตูน พร้อมชาวคณะ ก้าวคนละก้าว มาโรงแรม พูลแมน คิงเพาเวอร์ กรุงเทพ (รางน้ำ) เพื่อพูดคุยและอัพเดทถึงสภาพร่างกาย
"ขอบคุณนะ ไม่ใช่เฉพาะคนที่อยู่ตรงนี้ ทีคิงเพาะเวอร์ ขอบคุณคนไทยทุกคน ที่ร่วมด้วยช่วยกันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าจะส่งเงินบริจาคมาไม่ว่าจะเป็นกาส่งกำลังใจมาให้คุณหมอคุณพยาบาลทั่วประเทศ หรือแม้แต่การหยิบรองเท้าคู่โปรดมาออกกำลังเพืื่อมีสุขภาพที่ดี จุดประสงค์ก้าวคนละก้าวไม่ใช่แค่เงินบริจาค แต่ให้กำลังคุณหมอคุณพยาบาลทั่วประเทศวินาทีที่เราคุยกันตอนนี้คุณหมอคุณพยาบาล ควงเวรซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อรักษาชีวิตคนในครอบครัวของเรา คนที่เรารัก ผมคิดว่าไม่ว่าเครื่องมือการแพทย์จะพร้อมหรือไม่พร้อมจะขาดหรือไม่ขาด แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือกำลังใจ ผมอยากให้โครงการนี้ ส่งผ่านกำลังใจไปให้พวกเขา อีกอันหนึ่งที่ผมอยากได้ คือการออกกำลังกาย ผมเชือว่ามันอาจจะเป็นการลด ปัญหาโรงพยาบาลที่เรากำลังแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอยู่ คนออกกำลังป้องกันโรคต่างๆ ไม่ต้องมาใช้โรงพยาบาล และการออกกำลังกายไม่ใช่แค่เสมอตัว มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทำงานที่เขารับผิดชอบ ทำงานที่สมบูรณ์ มันจะเป็นบวก โครงการก้าวคนละก้าว ขอขอบคุณคิงเพาเวอร์ ผมเดินเข้ามาหา คุณต๊อบ ( อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา) เล่าถึงเจตนารมย์ที่เราอยากทำ นั่งฟังอยู่ประมา 20 นาที คุณต๊อบบอกว่าจะดูแลโครงการนี้ ไม่ว่าจะมีค่าใช้จ่ายอะไรเกิดขึ้น
ความรู้สึกที่เห็นคนไทยร่วมกันทำโครงการนี้
"คือผมเห็นว่ามันเป็นผลพลอยได้ สิ่งที่เกิิดขึ้นผมไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วและเป็นวงการขนาดนี้ ผมอยากจะใช้สิ่งที่มีผมมีความสุข ในการออกกำลังกาย ผมไม่มองนาฬิกา อยากจะทำสิิ่งที่เรามีความสุข และเกิดประโยชน์ต่อคนอื่นบ้าง เราอาจจะใช้เสียงในฐานะที่เราเป็นนักร้อง ใช้เสียงของเราให้เป็นประโยชน์ เราใช้เรียกของเราบอกเล่าความจริง บอกกับคนไทยใจดีทุกคนว่ามีโรงพยาบาลต้องการความช่วยเหลือ ผมเห็นคนไทยใจดีทุกคนจากเบตงถึงกรุงเทพ 33 วันผมเล่าเรื่องตลกระหว่างทาง ผมเจอคุณยายหลายๆคนบอกว่า ถ้ามันเหนื่อยมาก ทำไมไม่ขึ้นรถไปล่ะลูกแล้วผมไม่ได้เจอคนเดียว 3-4 คนบอกแบบนี้ ผมก็เลยบอกว่าผมต้องวิ่ง ไปตลอดทางเบตงถึงกรุงเทพผม จากเบตงถึงกรุงเทพ จากเหรียญห้าบาท เหรียบบาทแบงร้อยแบงพันจากเศษเงินท่ี่หลายคนมองว่าเราจะเหลือใครได้ตอนนี้รวมกัน เรารวมกันได้ 4 ร้อยกว่าล้านแล้ว เพราะโครงการผมอยากให้ทุกคน ให้มีมากให้มาก มีน้อยให้น้อย และข้อสำคัญต้องไม่เดือดร้อน ผมอยากให้เกิดพลังตรงนี้
มาถึงครึ่งทางจุดมุ่งหมายสู่แม่สายยังวางแผนในกำหนดเดิมไหม
“จริงๆ ผมถึงกรุงเทพ 1 ธันวาคม วันนี้วันที่ 3 ล่าช้าไป 2 วันคิดว่าน่าจะจบใน 55 วัน หลายๆ คนเป็นห่วงๆ มันไม่ต้อง 55หรือเป็น 56 วันก็ได้ แต่ว่ามันเป็นมุ่งมั่นปรารถนา คนไทยคนแรก พิชิตเป็นคนไทยคนแรก จากจุดใต้สุดสูงสุด อยากทำให้ตามที่เราตั้งใจไว้ก่อน"
นอกจากนี้ “ตูน” ยังได้ให้สัมภาษณ์กับกองทัพสื่อมวลชนอีกครั้งได้ความว่า “ผมรู้สึกมีความสุขมาก ถึงแม้ว่าร่างกายจะมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดเวลา หรือแม้แต่วันที่มันไม่เป็นดั่งใจจนต้องหยุดพัก รวมไปถึงทีมแพทย์สั่งให้หยุด แต่สุดท้ายวันนี้ผมก็เดินทางมาถึงกรุงเทพได้ มันอาจจะล่าช้ากว่ากำหนดไป 2 วัน แต่ผมก็มีความสุขมาก (ยิ้ม)”
"ถามว่าตอนที่ร่างกายบาดเจ็บผมรู้สึกยังไง แน่นอนมันต้องรู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว แต่เราก็อุ่นใจตรงที่เรามีทีมแพทย์และทีมกายภาพติดตามกันไปตลอด ช่วยกันวิเคราะห์วันต่อวัน รวมถึงช่วยรักษาวันต่อวัน จนสุดท้ายก็ประคองกันมาจนถึงวันนี้ผม และเอาจริงๆ ผมคิดตั้งแต่ก่อนวันที่จะเริ่มวิ่งแล้วครับว่า การบาดเจ็บปวดหรืออะไรที่มันไม่เป็นดั่งใจ มันต้องเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมอยู่แล้ว แต่อย่างที่บอกเราเองก็มีทีมที่ทำงานหนักที่ทำหน้าที่ค่อยๆ ประคับประคองกันไป จนวันนี้เรามาถึงกรุงเทพได้ครับ"
“สำหรับสภาพร่างกายของผม ณ ตอนนี้ ก็อะไรที่เจ็บได้ผมก็เจ็บหมด (ยิ้ม) แต่สิ่งที่ทำให้ผมยังวิ่งได้ก็คือ รอยยิ้ม รอยยิ้มตั้งแต่วันแรกที่เบตงจนถึงวันนี้ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยรอยยิ้มของทุกคน เสียงเชียร์ของทุกคน ทุกคนออกมาร่วมด้วยช่วยกันกับเรื่องที่เราบอกผ่านเกี่ยวกับโรงพยายาลที่ขาดแคลนต่างๆ มันทำให้แม้ว่าร่างกายของผมจะช้ำ แต่ข้างในใจมันยังมีแรงต่อไปได้เพราะภาพเหล่านี้”
"ในส่วนกำหนกการที่วางไว้ว่าจะต้องไปถึงในระยะเวลา 55 วัน ก็อย่างที่ผมได้บอกบนเวทีในฐานะนักกีฬาหรือนักวิ่ง ผมก็อยากจะพิชิต ซึ่งครั้งที่แล้วผมพิชิตระยะ 400 กิโลเมตร จากกรุงเทพสู่บางสะพานภายในระยะเวลา 10 วัน ตามที่กำหนดได้ และครั้งนี้เราก็คิดว่าเราอยากจะทำให้ได้ตามที่เรากำหนดเช่นเดียวกัน โดยที่เราก็ทำเต็มที่ที่สุด ซึ่งสุดท้ายมันจะอยู่ที่กี่วันก็เป็นเรื่องของอนาคต เพียงแค่สิ่งที่เราตั้งใจเราก็อยากจะทำให้มันสำเร็จ เพราะมิเช่นนั้นความตั้งใจมันก็จะดูเลื่อนลอย"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง