บันเทิง

ทิ้งความคาดหวังไว้ในอดีตชีวิตวันนี้ของ ‘แด๊กซ์’ 

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เพลง "อย่าปล่อยมือฉันได้ไหม" ความรู้สึกจริงจากส่วนลึกของ "แด๊กซ์ ร็อคไรเดอร์"

 

        เป็นอีกหนึ่งศิลปินที่มีเรื่องราวชีวิตไม่ธรรมดา กับการอยู่บนเส้นทางสายดนตรี สำหรับ "แด๊กซ์ ร็อกไรเดอร์” หรือ เอกรัตน์ วงศ์ฉลาด อดีตนักร้องนำวง “บิ๊กแอส” ที่ตอนนี้เขาได้กลับมาจับไมค์ร้องเพลงอีกครั้ง หลังเกิอมรสุมมากมายในชีวิต การกลับมาครั้งนี้แด๊กซ์ได้ถ่ายทอดชีวิตของเขาลงในบทเพลงที่เขาร้อง เพื่อสะท้อนความรู้สึกของเขาออกมาให้แฟนๆ ได้รู้
        โดย “แด๊กซ์” ได้เล่าถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาของเขาให้ “บันเทิง คมชัดลึก” ฟังว่า “ก่อนหน้านี้เราปล่อยเพลงกลับตัวกลับใจออกมา แต่จริงๆ แล้วเพลง “อย่าปล่อยมือฉันได้ไหม” คือเพลงแรกที่เราอยากที่จะปล่อย แต่พอมานั่งฟัง เรารู้สึกว่าความรู้สึกที่พูดออกมาในเพลง คงไม่เหมาะที่จะออกมาเป็นเพลงแรก เพราะเราหายไปนาน แล้วพอกลับมาจะเอาความรู้สึกอ้างว้างมาคุย มันคงไม่ใช่ เลยถูกยกมาปล่อยเป็นช่วงเวลานี้  อย่างตอนที่ปล่อยกลับตัวกลับใจ เพลงจะสื่อว่า ฉันกลับมาและมีสิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิม พอมาถึงเพลงนี้ คือเราอยากบอกว่าที่ผ่านมาเราเป็นอย่างไร เคยอ้างว้าง เคยหดหู่ เคยมืดมนเหลือเกิน แต่มันมีแสงไฟเล็กๆ ที่คอยนำทางให้เรามาทางนี้ สำหรับผม คือคนที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ทั้งทีมงาน ครอบครัว รวมถึงแฟนเพลง การกลับมาครั้งนี้ผมเลยอยากที่จะเล่าในเรื่องของตัวเอง เพราะมันสะท้อนความรู้สึกออกมาได้จริงมากที่สุด” นักร้องหนุ่มเผย

 

 

ทิ้งความคาดหวังไว้ในอดีตชีวิตวันนี้ของ ‘แด๊กซ์’ 

 


        นักร้องหนุ่มเผยว่าการกลับมาจับไมค์ร้องเพลงอีกครั้งของเขา เขายังใช้สถานะว่าเป็นนักร้องนำ ไม่ใช่ศิลปินเดี่ยว เพราะการเป็นศิลปินเดี่ยวจะต้องมีองค์ประกอบครบรอบด้าน ทั้งรูปร่าง หน้าตา ร้องเล่น เต้นได้ แต่สำหรับเขาแล้ว เป็นเพียงแค่กระบอกเสียงที่แทนคนกลุ่มหนึ่งมาตลอด แต่แค่ว่าการกลับมาของเขาครั้งนี้ ไม่ได้เป็นตัวแทนของวงใดวงหนึ่งโดยตรง ตอนนี้ก็พยายามปรับตัว เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่อธิบายยาก กับการที่เมื่อก่อนเรามีคนยืนอยู่ด้วยกันข้างหลัง แล้วเราเป็นนักร้องนำที่อยู่ข้างหน้า ถามว่าตอนนี้ความรู้สึกโอเคขึ้นไหม แด๊กซ์เผยว่าความรู้สึกตอนนี้โอเคขึ้นแล้วเมื่อไปยืนหน้าเวที เพราะว่าตอนนี้ข้างหลังเขาคือวง ซิลลี่ฟูลล์ ซึ่งเป็นเพื่อนกันอยู่ ก็ได้อารมณ์ความรู้สึกอีกแบบ
        “การกลับมาครั้งนี้ มันลดความกดดันที่เราเคยแบกไว้ ทั้งเรื่องของความคาดหวัง สิ่งที่ต้องรักษา ภาระหน้าที่ที่ต้องทำ การกลับมาครั้งนี้เราไม่ต้องแบกตรงไว้เลย ทำแล้วแฮปปี้เราก็ทำ ย้อนไปตอนนั้นสิ่งที่เราแบกไว้ เราไม่สามารถบอกได้ว่ามันรู้สึกยังไง กับความกดดันที่ต้องแบกไว้ในตอนนั้น ต้องคนที่เคยอยู่ตรงนั้นเท่านั้นถึงจะเข้าใจ เปรียบเหมือนเจ้าของบริษัท ที่คนอาจจะมองว่าเขายิ่งใหญ่ มีบริษัทเป็นของตัวเอง แต่รู้ไหมว่าเขาต้องแบกอะไรไว้บ้าง มันเหนื่อยและหนักนะ ทุกคนอาจจะเริ่มต้นการเล่นดนตรีด้วยความรัก พอเวลาผ่านไป มีสิ่งอื่นเข้ามา ต้องปรับสมดุลให้เท่านกันให้ได้ มันมีหลักสูตรตายตัวว่า ทำเพื่ออะไรเท่าไหร่ อย่างไง มันขึ้นอยู่กับการจัดส่วนผสม” แด๊กซ์เล่า   

 

 

ทิ้งความคาดหวังไว้ในอดีตชีวิตวันนี้ของ ‘แด๊กซ์’ 


        ถามต่อว่าวันนี้มีความสุขกับการร้องเพลงมากกว่าแต่ก่อนไหม
        "ผมมีความสุข อาจจะไม่ได้ว่ากลับมาแล้วพีค หรือสมบูรณ์แบบ เหมือนตอนเราอายุ 25-28 ปี แต่สิ่งที่ได้กลับมาตอนนี้คือมันสนุกดีนะ คนที่อยู่กับเราตอนนี้ก็เป็นอารมณ์เเดียวกัน คุยเรื่องเดียวกัน ถามว่าผมมีอีโก้น้อยลงไหม มันก็น้อยลง แต่ตัวผมเองไม่ได้เป็นคนที่ยึดอะไรพวกนี้ไว้อยู่แล้ว การร้องเพลงในตอนนี้ที่มีความสุข เพราะว่าผมไม่ต้องไปนั่งแบกรับอะไรหลายๆอย่างไว้เยอะ แต่เราก็ต้องยอมรับความจริงว่า เหมือนนักฟุตบอล ที่ไม่มีใครได้แชมป์ตลอดเวลา หรืออยู่ในจุดที่พีคสุดตลอดเวลา มันก็ต้องมีช่วยรีไทน์ ช่วงพักรักษาตัว ช่วงบาดเจ็บ เราก็พยายามเข้าใจในตรงนั้น ผมเป็นคนที่ถ้าผมอยู่ในจุดที่รู้สึกว่าตัวเราไม่สามารถเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่เราตามคนอื่นไม่ได้ ก็ช่างมัน ไม่เอาดีกว่า
        เราเคยมีความรู้สึกที่ว่า ร้องเพลงแล้วมันไม่มีความสุข เมื่อก่อนเราร้องเพลงผิดบ้าง ถูกบ้าง ร้องดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่คนก็ยังสนุกด้วย แต่โตขึ้นมาเราร้องผิดหน่อย ก็จ้องในความผิดเราขึ้นมา เราเลยรู้สึกจะร้องไปทำไมให้คนด่า ผมไม่ได้หนีขนาดนั้่น บางคนบอกผมไม่มีความเป็นมืออาชีพ จะบอกว่าผมเลยขั้นนั้นมาแล้ว มันผ่านอารมณ์นั้นมาแล้ว มันยากนะที่จะต้องรักษาอะไรไว้ตลอดเวลา เพราะผมไม่ได้เป็นความคาดหวังของใคร เราก็ยังเป็นตัวเรา เราแค่เป็นตัวแทน แต่บางคนมาดูด้วยความคาดหวัง พอไม่เป็นอย่างที่หวัง ก็ไม่พอใจต่างๆ นานา ถามว่าท้อไหม มันไม่ท้อ แต่แค่รู้สึกว่ามันเยอะไปหริือเปล่า ทำไมไม่ทำอะไรให้สบายๆ (หัวเราะ) หยุดพักกันบ้าง ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าจะแขวนสตั๊ดไปเลยดีกว่า รู้สึกว่ามันไม่แนว แต่พอมีโอกาสไปทำรายการไปเจอแฟนๆ ที่อยู่ที่ไกลๆ แล้วเขายังชอบเพลงของเรา ยังรอให้เรากลับมาร้องเพลง ทำให้ตัดสินใจที่กลับมาอีกครั้ง" แด๊กซ์กล่าว 

 

ทิ้งความคาดหวังไว้ในอดีตชีวิตวันนี้ของ ‘แด๊กซ์’ 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ