บันเทิง

‘ตี้’สมเจตน์เผยพลังบวกของโซเซียลข้ามผ่านเวลาเลวร้าย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

“ตี้”สมเจตน์ เจริญวัฒน์อนันต์ พร้อม “จุ๊บ”สกุณา ภรรยา พร้อมขอบคุณทุกกำลังใจ ที่ให้มาจากโลกโซเซียล  

          หลังจากพิธีกรคนดัง อย่าง “ตี้”สมเจตน์ ออกมาเปิดใจในรายการตีสิบเดย์ เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา บอกเล่าเรื่องราว ที่ตลอด 3 ปีหายไปจากวงการ เนื่องจากต้องไปดูแล “จุ๊บ” สกุณา  ภรรยา ที่ล้มด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ และต้องทำการผ่าตัดกะโหลกศีรษะครั้งใหญ่  ล่าสุด “บันเทิง คมชัดลึก” ได้พบ “ตี้” และ “จุ๊บ” จึงได้พูดคุยถึงฟีดแบค และกำลังใจที่ได้รับ ทั้งคู่ได้เปิดเผยว่า  

‘ตี้’สมเจตน์เผยพลังบวกของโซเซียลข้ามผ่านเวลาเลวร้าย

          “ถ้าได้ชมกันทางทีวี ตอนแรกผมเองไม่คิดว่าจะมีกระแสเยอะนะ  แต่เข้าใจว่ารายการตีสิบเดย์มีแฟนคลับเยอะอยู่แล้ว เป็นรายการที่ดี แค่ผมไม่คิดว่าทางโซเซียลเขาจะเล่น ผมเองไม่ค่อยได้เล่นโซเซียลสักเท่าไหร่ ภรรยาเขาจะเป็นคนเล่นมากกว่า ผมจะทราบจากภรรยาเนี่ยแหล่ะ ผมต้องขอขอบคุณผู้ใหญ่นะ แล้วฟีดแบคที่กลับมาถือว่าเป็นประโยชน์ต่อหลายคนด้วย ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันเป็นพลังบวกให้กันและกัน   สำหรับตัวผม ผมขนลุกมากเลยนะ  คือการที่ได้ไปออกรายการ ตัวภรรยาเองก็ดีขึ้น  เพราะก่อนหน้านี้ เขาค่อนข้างดาวน์หนักมาก แต่ก่อนที่จะไปออกรายการตีสิบ ตัวเขาดีขึ้นมาก เราจึงตัดสินใจที่จะไป เพราะถ้าว่าเขายังไม่ดี ผมก็คงไม่ไป เขาดีในระดับทีี่โอเค เขาได้รับพลังบวกมากมาย ตัวเขาเองก็สามารถส่งพลังบวกไปให้คนอื่นได้อีก”ตี้บอก 

‘ตี้’สมเจตน์เผยพลังบวกของโซเซียลข้ามผ่านเวลาเลวร้าย

     การกลับมาทำงานต่างๆ ในวงการบันเทิง ณ ตอนนี้มีอะไรบ้าง ตี้บอกว่า เรื่องงานตอนนี้ ผู้ใหญ่ก็กำลังดูให้อยู่  ก็มีทั้งงานละคร งานพิธีกร รวมๆ กันหมด   

          "มีผู้หลักผู้ใหญ่ที่ไม่น่าเชื่อ ว่าจะโทรมาหาผม เขาก็โทรมานะ  อย่างพี่หน่อง (อรุโณชา ภาณุพันธุ์) ก็โทรมาหา  บอกว่าไม่รู้ว่าผมหายไปไหน ไม่รู้ว่าผมเป็นอย่างไรบ้าง  นึกว่าผมยังโอเคอยู่  พี่หน่องเลยบอกว่าขอดูตัวบทละครที่เหมาะสมกับตัวของผม ผมขอขอบคุณพี่หน่องมาก แต่ของแบบนี้ ต้องใช้เวลานิดหนึ่งนะ (หากต้องกลับมาทำงานวงการจริงๆ การดูแลภรรยาจะต้องวางแผนอย่างไร) มีเตรียมๆอยู่แล้ว อย่างงานแถลงข่าวคอนเสิร์ตวันแม่ผมก็พาเขามาด้วย ปีที่แล้วก็พามานะ  สำหรับงานหลักๆ ของผมที่ผ่านมาตลอด 3 ปี ผมแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยนะ  ที่หยุดไป  เขาเคยคิดสั้น   ตอนนั้นผมทำารายการอยู่ ผมรู้สึกว่าผมปล่อยไม่ได้เลยนะ มันเป็นเรื่องของภาวะสมอง ที่ได้รับการผ่าตัดมา ผมก็ตัดสินใจอยู่บ้านด้วยเงินก้อนหนึ่ง และคิดว่าเราก็น่าจะอยู่ได้สักปี ถึงสองปี  แต่เอาจริงๆ มันไม่พอนะ เพราะเราเอง มีทั้งค่าเทอมลูก และเมื่อเขาดีขึ้น เราก็ออกมาทำงานได้แล้ว และถ้างานใกล้ๆ   ผมก็จะพาเขามาด้วย  ผมอยากให้เขาออกมาพักผ่อนด้วย มาเจอคน ถ้าอยู่บ้าน เขาอยู่คนเดียว เขาจะคิดอะไรหรือเปล่า แต่คิดว่าตอนนี้เขาไม่คิดเรื่องไม่ดีแล้วล่ะนะ  ที่เคยคิดอาจจะเป็นเพราะว่าภาวะสมอง เคมีมันแกว่ง อย่างว่าคนผ่ากะโหลกด้วยอะนะ   ตอนแรกผมไม่เข้าใจเขา และเมืืิ่อเราได้ศึกษา และเรียนรู้ทุกอย่างมันก็ดีขึ้น " 

          ถามถึงกำลังใจที่ได้รับ เป็นอย่างไรบ้าง ได้รับคำตอบ ว่าเยอะมากอย่างที่บอกว่า เขารู้สึกตกใจ ว่าโซเซียลมันเยอะขนาดนี้เลยหรือ 

          "ตอนแรกผมไม่เชื่อนะ ไม่คิดว่าจะมีกระแสนะ อย่างมีคนแชร์เรื่องราวของผมก็ร่วมๆ หมื่นแล้วนะ ผมไม่รู้หรอกว่าเยอะไหม แต่ภรรยาของผมบอกว่าเยอะนะ มีคนส่งเม้นท์มาให้กำลังใจเยอะ ก็เลยรู้สึก ว่าที่เราช่วยสังคมกลับไปด้วย   ผมมีงานครบรอบ 60 ปีสถาบันประสาท เขาเชิญผมไปเป็นแขกรับเชิญ เพื่อที่จะเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาล เขาได้สู้และมีลมหายใจต่อเพื่อคนที่รัก  

          ส่วนลูกๆ เขาเองก็มีฟีดแบคที่ดีนะ ทั้งลูกสาวและลูกชาย ทางโรงเรียนก็ให้ออกไปร้องเพลงหน้าชั้น  เขาเองมีความสุข   สำหรับตัวผม ผมไม่ได้สร้างปมให้ลูกๆ รู้สึกว่าแม่เขาเป็นคนพิการนะ  ถึงพิการแต่เราอยู่กันได้ เพื่อนๆก็ไม่ได้ล้อ แถมเพื่อนๆยังรักคุณแม่เขาอีกด้วย ผมมองว่าไม่ได้เป็นปมด้อย ผมพยายามสร้างปมนี้ ให้เป็นปมเด่น ให้ครอบครัวแข็งแรง แต่ก็ต้องยอมรับว่า แรกๆ น้องก็งงและช็อค    ผมก็พยายามค่อยๆ บอกเขาว่า แม่ไม่สบายนะ แต่เด็กก็อาจจะไม่เข้าใจ เรามีหน้าที่เคลียร์เรื่องทุกอย่างภายในบ้านให้จบ แล้วเราก็ไปสู้กับข้างนอก ผมถึงเลือกที่จะหยุดงานเพื่อดูแลเขา  พอเงินหมด เขาเองก็ดีขึ้น ผมมองว่าเป็นเรื่องของจังหวะและโชคนะ เหมือนกับเป็นสัญญาณว่า เขาดีขึ้นถึงเวลาที่เราจะต้องออกไปหาเงิน ที่ผ่านมามีคนจะโอนเงินมาให้ แต่ผมไม่เอานะ ไม่เอาเลย ผมคิดว่าตัวเองยังทำงานได้ เหมือนที่คุณอาวิทวัส  สุนทรวิเนตร์ บอกกับผมว่า ผมเป็นคนอย่างนี้คนถึงอยากช่วยเหลืิอผม ผมมองว่าผมมีแรง และอยากสู้ด้วยลำแข้งตัวเอง ทำจะทำงานได้เงินมากน้อยไม่เกี่ยวนะ ผมขอทำงานเอาเงินมากกว่านั่งงอมือแล้วรับเงิน" ตี้บอก   

‘ตี้’สมเจตน์เผยพลังบวกของโซเซียลข้ามผ่านเวลาเลวร้าย

              ด้านภรรยากล่าวเสริมว่า “เราเองอ่านทุกคอนเม้นท์จริงๆ เป็นกำลังใจให้เราอย่างมาก เมื่อก่อนเราหวังกำลังใจจากญาติพี่น้อง คนใกล้ตัว แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าพื้นที่สื่อ มันมีพลังบวกเข้ามาเยอะ เหมือนจำนวนเยอะมาก  จากตอนแรกที่ไปออกรายการตีสิบ ต้องนั่งรถเข็น ตอนนี้เราก็พัฒนาเดินด้วยไม้เท้า พอพลังบวกมากๆ  ในบ้านของเรา เดินไม่ใช้ไม้เท้าแล้วนะ  เราเริ่มเดินเหมือนเด็กหัดเดิน” จุ๊บกล่าวปิดท้ายอย่างอารมณ์ดี 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ