บันเทิง

พูดคุยกับนิโคลัจ อาร์เซล

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"นิโคลัจ อาร์เซล" ผู้กำกับภาพยนตร์ “The Dark Tower”

         นวนิยายเรื่อง “The Dark Tower”  สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านนับล้านๆ คน รวมถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่งในเดนมาร์คอย่าง นิโคลัจ อาร์เซล ซึ่งตอนนี้เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และมุ่งมั่นที่จะเป็นคนนำนิยายเรื่อง Dark Tower สู่จอเงินให้ได้ ด้วยความที่เขาโตมากับหนังสือเรื่องนี้r อาร์เซลชื่นชอบเรื่องราวนี้มากจนเขาเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง เขาเล่า “ตอนผมอายุ 13 ปี แทบไม่มีหนังสือของสตีเฟน คิงเรื่องไหนเลยที่แปลเป็นภาษาเดนิช ผมคลั่งไคล้หนังสือไม่กี่เรื่องที่ผมได้อ่านในภาษาเดนิชมาก ถึงผมจะอายุแค่นั้นก็เถอะ ผมก็เริ่มหยิบหนังสือนิยายเวอร์ชันภาษาอังกฤษมาอ่าน และผมก็ต้องเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษสไตล์นิยายตั้งแต่อายุน้อยๆ สตีเฟน คิง เป็นคนสอนภาษาอังกฤษให้กับผมครับ”

พูดคุยกับนิโคลัจ อาร์เซล

@ เนื้อเรื่องภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างไร 

         เป็นเรื่องราวของโรแลนด์ เดสเชน (ไอดริส เอลบ้า) ได้ทำสงครามกับวอลเตอร์ โอ’ดิม หรือจอมทมิฬ (แมทธิว แม็คคอนนาเฮย์) มาเนิ่นนานแล้ว ด้วยความมุ่งมั่นที่จะหยุดยั้งเขาจากการโค่นหอคอยทมิฬ ซึ่งเป็นตัวประสานโลกต่างๆ เข้าด้วยกัน เมื่อมีชะตากรรมของโลกเป็นเดิมพัน ธรรมะและอธรรมจะมาเผชิญหน้ากันในสงครามครั้งสุดท้ายเมื่อมีแต่โรแลนด์เท่านั้นที่จะสามารถป้องกันหอคอยจากจอมทมิฬ หอคอยนี้เป็นสิ่งที่งดงาม น่าทึ่งและทรงอำนาจ มันคุ้มครองโลกไม่ให้แตกสลาย ผมคิดว่า มันอยู่นอกเหนือความเข้าใจของเราครับ ผมคิดว่าแฟนหนังสือเรื่องนี้ทุกคนต่างก็มีไอเดียของตัวเองว่าหอคอยทมิฬคืออะไร

@ ​คุณคิดว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คุณได้มากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ 

         ผมชอบหนังที่พาเราไปสู่โลกใหม่ มีไอเดียและตำนานใหม่ๆ และมีการสร้างโลกใหม่ขึ้นมา การมีโอกาสได้กำกับหนังที่สร้างจากเรื่องราวที่ผมใฝ่ฝันถึงเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ยิ่งสำหรับผมที่มาจากเดนมาร์คด้วยแล้วน่ะครับ มันไม่ได้ให้ความรู้สึกประชดประชันหรือเย็นชา แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว มิตรภาพ หัวใจและสายสัมพันธ์ของผู้คนที่มารวมตัวกันต่อสู้เพื่อส่วนรวมมากกว่า

พูดคุยกับนิโคลัจ อาร์เซล

@ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คุณเลือ  ไอดริส เอลบ้า มารับบท โรแลนด์ เดสเชน

         ตอนที่สตีเฟน คิงสร้างโรแลนด์ขึ้นมา เขาสร้างตัวละครที่อ้างอิงมาจากตัวร้ายที่แสบสันต์ที่สุด เราใช้แนวทางนั้นในการคัดเลือกนักแสดงสำหรับบทโรแลนด์ โดยเราถามตัวเองว่า ‘ใครคือตัวร้ายที่แสบที่สุดในปัจจุบัน ใครจะเป็นตัวแทนของโรแลนด์ได้’ เราก็เลยเลือก ไอดริส เอลบ้า เขาเป็นตัวแทนของโรแลนด์ และเขาก็ยังเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมและมีความสามารถในการเนรมิตตัวละครที่ซับซ้อนอย่างโรแลนด์ให้มีชีวิตขึ้นมาอีกด้วย ที่สำคัญผมเป็นแฟนผลงานของ ไอดริส เอลบ้า ตั้งแต่ ‘The Wire’ แล้ว เขาเป็นนักแสดงที่มีเสน่ห์ คำถามเดียวก็คือเราจะมีวิสัยทัศน์ที่คล้ายๆ กันต่อตัวละครตัวนี้

@ ​วอลเตอร์เป็นศัตรูลึกลับของโรแลนด์อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คุณเลือก แมทธิว แม็คคอนนาเฮย์ มารับบทนี้

         ​แก่นแท้ของตัวละครตัวนี้คือวายร้ายที่สบายๆ ขี้เล่น แต่ก็โหดเหี้ยมและน่าสะพรึงกลัว โดยดูเหมือนจะควบคุมตัวเองได้ แมทธิว แม็คคอนนาเฮย์ เป็นคนที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับบทจอมทมิฬ เขามีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อ ดูสบายๆ และซุกซนอย่างจริงจัง วอลเตอร์ได้เดินทางไปยังโลกต่างๆ ผ่านหลายยุคหลายสมัย เขารู้จักนิวยอร์กร่วมสมัย และที่ที่เขาจะหาซื้อเบอร์เกอร์ได้ แต่ในขณะเดียวกันด้วยเวทมนตร์ของเขา เขาก็สามารถไปที่ท้องพระโรงของกษัตริย์ที่ไหนซักแห่งได้ด้วย  แผนการของเขาสำหรับจักรวาลคือการสร้างยุคของราชันย์แดงหรือปีศาจ  วอลเตอร์ไม่ใช่คนที่มีความชั่วร้ายแบบมิติเดียวเท่านั้น แต่เขามีวิธีการที่น่าสนใจในการมองโลกใบนี้ ด้วยความยินดีบางอย่าง แม้ว่าเขาจะอยู่ในด้านที่ผิดในสเปคตรัมความมืดและสว่างก็ตามที เราสนุกมากกับตัวละครตัวนี้และแมทธิวกับผมก็ได้เสิรเลเยอร์ต่างๆ มากมายที่ตรงกับในหนังสือเข้าไป เช่นวิธีการพูดและเคลื่อนไหวของวอลเตอร์น่ะครับ

พูดคุยกับนิโคลัจ อาร์เซล

@ ฉากในเรื่องก็ดูละเอียดอ่อนมาก

         เป้าหมายหลักของเราคือการพาผู้ชมเดินทางเข้าสู่โลกของสตีเฟน คิงครับ ​ด้วยความที่เรื่องราวเกิดขึ้นทั้งในนิวยอร์กยุคปัจจุบันและมิดเวิลด์ ผมจึงต้องการสร้างความแตกต่างระหว่างทั้งสองโลก โดยที่มีหอคอยเป็นจุดเชื่อมโยง มีภูมิประเทศและฉากที่หลากหลายมากมาย และการเดินทางรวมถึงความเปลี่ยนแปลงจากนิวยอร์ก ซิตี้สู่มิดเวิลด์ไปจนถึงตัวหอคอยเองด้วย ผมสนุกมากที่ได้สร้างโลกที่ผสมผสานความแปลกเข้ากับความธรรมดา โลกที่รวมเอาความปกติเข้ากับสิ่งที่พิลึกนิดๆ  มันเป็นความท้าทายเสมอในตอนที่คุณตีความงานเขียนของคนอื่น ซึ่งเป็นนิยายยอดนิยมที่มีการบรรยายภาพชัดเจนมากๆ ที่ยากก็เพราะคุณต้องเทียบเท่ากับต้นฉบับให้ได้ ซึ่งเราก็ไม่อยากจะทำให้มันแตกต่าง แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องทำให้มันเป็นสิ่งที่ผู้ชมร่วมสมัยจะคิดว่าเป็นเรื่องใหม่และน่าตื่นเต้น แฟนๆ ต่างก็มีไอเดียของตัวเองว่าโลกพวกนี้จะมีลักษณะเป็นยังไง ดังนั้น มันก็มีทั้งการคาดเดาและคาดหวัง และมันก็เป็นหน้าที่ของเราในการสร้างหนังเรื่องนี้ให้เติมเต็มช่องว่างนั้นครับ มิดเวิลด์นั้นเป็นโลกคู่ขนานกับเรา มันดูแตกต่างจากโลก มันเหลือเชื่อ ด้วยภูมิประเทศแปลกตาและทะเลทรายเวิ้งว้าง และตัวละครที่อาศัยอยู่ที่นั่นก็แตกต่างจากเรามากๆ พวกเขามีทั้งอัศวินปืนไวจอมเวทย์ สัตว์ประหลาดและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

พูดคุยกับนิโคลัจ อาร์เซล

@ ทำไมถึงเลือกไปถ่ายทำที่แอฟริกาใต้

         ​เพราะที่นั่นมีภูมิประเทศไม่เหมือนที่อื่นและมีป่าน่าทึ่งสำหรับฉากมิติคู่ขนาน เรายกกองไปยังสถานที่ที่ห่างไกลผู้คนอย่างทะเลทรายคารู ที่ซึ่งพวกเขาสร้างฉากมิดเวิลด์ขึ้นมา ในการสร้างเลเยอร์อีกชั้นให้กับโลกคู่ขนานนี้ ทีมงานได้เดินทางไปยังบริเวณภูเขาซีดาร์เบิร์ก ที่ซึ่งธรรมชาติที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้รวมถึงถ้ำและหินสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ เพราะมิดเวิลด์เป็นเหมือนดินแดนเวิ้งว้าง แต่มันก็มีซากอารยธรรมโบราณมากมายที่กระจัดกระจายรอบสถานที่นี้ น่าแปลกที่อารยธรรมพวกนั้นเป็นอารยธรรมอนาคตที่ตอนนี้กลายเป็นอารยธรรมโบราณไปแล้ว  ส่วน​โลเกชันสำหรับหมู่บ้านแมนนิถูกพบในบริเวณไร่ไวน์นอกเคปทาวน์ ที่นี่ ในหุบเขาที่แทบจะซ่อนตัวอยู่ภูเขาที่ลาดชัน ​แผนกศิลป์ใช้เวลาสองเดือนในการสร้างสถาปัตยกรรมแบบดิสโทเปียของกลาส รวมถึงจัตุรัสของหมู่บ้าน ที่ห้อมล้อมไปด้วยบ้านของชาวบ้านที่สร้างด้วยไม้ เราจงใจเลือกทำให้มันเป็นสีเอิร์ธโทน ซึ่งเข้ากันได้ดีกับหุบเขาและภูเขารอบด้าน มันเกือบจะเหมือนกับการพรางตัว เพื่อที่ชาวบ้านจะได้หลบซ่อนตัวและรู้สึกปลอดภัยจากภัยคุกคามในโลกกว้างได้ ไอเดียหลายอย่างอยู่ในนิยายอยู่แล้ว เช่นสัญลักษณ์ของราชันย์แดง ซึ่งคือตาเหล่ ผมมีไอเดียเกี่ยวกับโลกที่ราชันย์แดงอาศัยอยู่ ว่ามันน่าจะเป็นสถานที่ที่เหมือนภูเขาไฟ มันก็เลยจะเป็นรายละเอียดที่ปรากฏอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ความมืดมิดและไฟ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของฝันร้ายของเจคเช่นกัน ดังนั้น ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับโลกของผู้ร้ายถ้าไม่เกี่ยวกับความมืดก็จะเกี่ยวข้องกับไฟครับ มันเป็นสีแดงและดำ และตลอดการเดินทาง เราก็ใส่องค์ประกอบที่มืดมิดและองค์ประกอบของไฟที่หลากหลายเข้าไป

         ภาพยนตร์เรื่อง THE DARK TOWER ; หอคอยทมิฬ เข้าฉาย 10 สิงหาคม 2560 ในโรงภาพยนตร์ 

พูดคุยกับนิโคลัจ อาร์เซล  

พูดคุยกับนิโคลัจ อาร์เซล

พูดคุยกับนิโคลัจ อาร์เซล

พูดคุยกับนิโคลัจ อาร์เซล

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ