พูดคุยกับ 'ไบรอัน ฟี' จากนักวาดรูปสตอรี่บอร์ด 

         นี่คือการกลับมาอีกครั้ง ของภาพยนตร์เรื่อง Cars ที่ตอนนี้เรื่องราวดำเนินมาถึงภาค 3 แล้ว โดยภาพยนตร์เรื่อง “Cars 3”  นั้นดำเนินเรื่องมาถึงตอนที่ ไลท์นิ่ง แมคควีน (รถที่เป็นตัวเอกในเรื่อง ให้เสียงพากย์โดย โอเวน วิลสัน) ได้กลับสู่จอเงินอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้เป็นรถแข่งน้องใหม่อีกแล้ว เมื่อเขาถูกกลบรัศมีจากรถซิ่งสายฟ้าแลบรุ่นใหม่ แจ็คสัน สตอร์ม (พากย์เสียงโดยอาร์มี่ แฮมเมอร์) แชมเปี้ยนคนดังจากถ้วยพิสตัน คัพ ไลท์นิ่ง แมคควีน ค้นพบว่าตัวเองถูกผลักดันให้พ้นจากกีฬาที่เขารักอย่างกะทันหัน 

         โดยภาคนี้ ผู้ให้เสียงพากย์ เป็น ไลท์นิ่ง แมคควีน คือ โอเวน วิลสัน นอกจากนี้ ยังมีนักพากย์ที่คร่ำหวอดในวงการ ไม่ว่าจะเป็น คริสเตล่า อลองโซ่ ครูฝึกเทคโนโลยี ครูซ รามิเรซ ผู้พยายามช่วยเหลือรถแข่งหมายเลข 95 ให้กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง และ อาร์มี่ แฮมเมอร์ พากย์เสียงนักแข่งรุ่นใหม่ แจ็คสัน สตอร์ม ผู้ซึ่งความเร็วดุจสายฟ้าแลบของเขา ทิ้งไลท์นิ่ง แมคควีน ให้กินฝุ่น เคอร์รี วอชิงตัน ได้รับเลือกให้พากย์เสียงนักวิเคราะห์สถิติ นาตาลี เซอร์เทน, นาธาน ฟิลเลียน พากย์เสียงนักธุรกิจคนเก่ง สเตอร์ลิง, ลีอา เดอลาเรีย พากย์เสียงรถโรงเรียนผู้น่าเกรงขาม มิสฟริตเตอร์ และนักแข่งรถฟอร์มูลา วัน ลูอิส แฮมิลตัน ช่วยเนรมิตชีวิต ให้แก่เครื่องมือผู้ช่วยที่บังคับการด้วยเสียง แฮมิลตัน ฯลฯ ส่วนผู้กำกับในภาคนี้ คือ ไบรอัน ฟี นักวาดรูปสตอรี่บอร์ดจาก “Cars,” “Cars 2“ ซึ่งวันนี้เรามีบทสัมภาษณ์ของเขาที่กล่าวถึงภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องนี้อย่างน่าสนใจ

         “รถซิ่งรุ่นใหม่ในเรื่องเจ๋งมาก คุณจะเห็นได้ทันที ว่ารถอย่างแจ็คสัน สตอร์ม มีความเร็วตามธรรมชาติ เราออกแบบรถที่เร็วกว่า และรุ่นใหม่กว่าพวกนี้ให้มีความเพรียวและลดแรงต้านของอากาศ และพวกมันก็ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับไลท์นิ่ง แมคควีนครับ”

@ ในภาพยนตร์เรื่อง “Cars 3” เราจะเห็นอะไรที่แตกต่างจากภาคก่อนๆ บ้าง

          ในภาพยนตร์เรื่อง Cars ภาคก่อนๆ เราจะเห็นว่า ไลท์นิ่ง แมคควีน นั้น เป็นน้องใหม่ไฟแรง เป็นซูเปอร์ฮีโร่ เขายังมีอนาคตอีกยาวไกล และแม้ว่าชีวิตเขาจะไปได้สวย นับตั้งแต่ที่เราได้เห็นเขาครั้งล่าสุด ในภาคนี้เขาก็ไม่ใช่รถแข่งฮอตช็อตหนุ่มอีกแล้ว เราได้แต่คิดวนเวียนอยู่กับไอเดียของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อนักกีฬาอย่างไลท์นิ่งมาถึง บั้นปลายของอาชีพเขา เราได้ทำการค้นคว้าข้อมูลมากมาย เราดูนักกีฬาประเภทอื่นๆ แต่เราโฟกัสไปที่นักแข่งนาสคาร์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าพวกเขาเริ่มต้นตั้งแต่อายุน้อยๆ และชีวิตของพวกเขาก็วนเวียนอยู่กับการแข่งรถ เราถึงกับคุยกับนักจิตวิทยากีฬา ทำให้ทราบว่านักแข่งพวกนี้หลายคน ไม่สามารถจินตนาการถึงการทำอย่างอื่นนอกจากการแข่งรถได้เลย”

@ ดูเหมือนว่าในภาคนี้ ไลท์นิ่ง แมคควีน จะถูกคุกคาม โดยนักแข่งรุ่นใหม่ เขาได้กระทำบางอย่างพลาดอย่างใหญ่หลวง ซึ่งส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ และเขาต้องหันกลับมาพิจารณาตัวเองอีกครั้ง 

         “ปฏิกิริยาแรกของไลท์นิ่ง คือเขาอยากจะทำอะไรก็ตาม ที่นักแข่งรุ่นใหม่ทำ ถ้าพวกเขาฝึกกับซิมูเลเตอร์ เขาก็จะฝึกกับซิมูเลเตอร์บ้าง  เรื่องราวนี้สะท้อนถึงแชมเปี้ยนในชีวิตจริง ไลท์นิ่ง แมคควีน ลงแข่งมาแล้วกว่าหนึ่งทศวรรษ เขากำลังทุกข์ใจกับปัญหาต่างๆ ที่นักกีฬาจำนวนมากเผชิญในช่วงบั้นปลายชีวิตนักกีฬาของพวกเขา คุณจะโบกมือลาวงการ ตอนที่อยู่บนจุดสูงสุด หรือคุณจะสู้จนถึงตอนสุดท้ายกันล่ะ มันเป็นเหมือนเรื่องราวอมตะในวงการกีฬา เราได้เห็นกรณีแบบนี้ กับนักกีฬาจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นไมเคิล จอร์แดน หรือ เพย์ตัน แมนนิง, เวย์น เกรทซ์กี้ หรือ มิสตี้ เมย์-เทรย์เนอร์ สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของนักกีฬา คือพวกเขาอายุประมาณสามสิบกว่าๆ ตอนที่พวกเขาอำลาวงการ พวกเขายังคงต้องนึกถึงชีวิตที่เหลือของพวกเขา”

@ เห็นได้ว่าเขาเลือกทีี่จะพึ่งพาครูฝึกผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่ศูนย์รัสต์ทิส เรซซิง เซ็นเตอร์ เพื่อกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง  

         “ในเรื่อง ครูซ รามิเรซ เป็นครูฝึกระดับแนวหน้าของวงการรถแข่ง เธอรับไลท์นิ่ง เป็น ‘โปรเจกต์ผู้สูงวัย’ ของเธอและเรียกมันตามที่เธอชอบใจ ตอนนี้ไลท์นิ่งอายุมากขึ้นแล้ว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เขาก็ไม่อยากยอมรับ แต่เขาหลีกหนีความจริงไม่พ้น ครูซ เชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยี และรู้จักวิธีการสร้างผู้คว้าชัยบนสนามแข่งรูปแบบใหม่ๆ แต่ไลท์นิ่ง ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของรถแข่งรุ่นใหม่ และสิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ที่ศูนย์แข่งรถไฮเทคสุดหรูสเตอร์ลิง เจ้าของรัสต์ทิสคนใหม่ ไม่ต้องการจะเห็นนักแข่งดาวเด่นของเขาต้องดิ่งลงเหว พวกเขาก็เลยทำข้อตกลงกัน ว่าถ้าสเตอร์ลิงจะให้ไลท์นิ่งลงแข่งในนัดเปิดฤดูกาลที่ฟลอริดา อินเตอร์เนชันแนล ซูเปอร์ สปีดเวย์ ถ้าไลท์นิ่งชนะการแข่งครั้งนี้ เขาสามารถตัดสินใจได้ว่าจะอำลาวงการเมื่อไหร่ แต่ถ้าเขาแพ้ไลท์นิ่งจะต้องอำลาวงการ และกลายเป็นแบรนด์ให้กับรถธุรกิจและประชาสัมพันธ์สินค้า ไลท์นิ่ง แมคควีน ให้กับแฟนๆ ของเขาทั่วโลกแทน ข้อเสนอเหล่านี้มันกระตุ้นให้เกิดการเดินทางเปลี่ยนชีวิตของไลท์นิ่ง ไลท์นิ่งมีภารกิจที่จะต้องคว้าชัยชนะให้ได้ ถ้าเทคโนโลยีไม่ใช่คำตอบ เขาก็มุ่งมั่นที่จะหาคำตอบให้ได้ว่ามันคืออะไร ซึ่งดูเหมือนเขากำลังไล่ตามวัยหนุ่มของตัวเอง คิดว่าถ้าเขาสามารถรับมือกับสิ่งที่ด็อค (โค้ชคนแรกของเขา) สอนเขาไว้ นั่นคือการทำให้ล้อตัวเองเปื้อน เขาจะพบสิ่งที่เขาขาดหายไป ท้ายที่สุดเขาก็หันไปหา สโมคกี้ โค้ชของโค้ชเขา ผู้อยู่เคียงข้างด็อคในช่วงเวลารุ่งโรจน์ของเขา เพื่อให้ช่วยแนะนำและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เขา 

@ คุณได้อะไรจากการทำภาพยนตร์เรื่องนี้ และคาดว่าคนดูจะได้อะไรกลับไป

         ถ้าคุณพยายามจะแบ่งปันไอเดียกับผู้ชมในฐานะคนทำหนัง คุณจะต้องรู้สึกถึงมัน ดังนั้น การกลายเป็นพ่อคน ก็กลายเป็นแรงจูงใจหลักของผมในการตามหา และทำความเข้าใจกับอารมณ์ในหนังครับ เช่นเดียวกับพวกเราส่วนใหญ่ ผมพยายามหาเวลา ที่จะสำรวจโปรเจกท์ลูกรักของตัวเอง เราต่างก็มีภาระความรับผิดชอบที่ทำงานและที่บ้าน จนทำให้เราไม่มีเวลาว่างเพียงพอ แล้ววันหนึ่ง ผมได้ใช้เวลาสองสามชั่วโมงระบายสีภาพง่ายๆ เพื่อสอนเรื่องศิลปะให้กับลูกสาวของผม มีบางสิ่งเปลี่ยนไปหลังจากนั้น ผมพบประสบการณ์นั้นคุ้มค่ากว่าที่ผมจินตนาการไว้เสียอีก นั่นเป็นสิ่งที่เราพยายามจะสื่อสารในหนังเรื่องนี้ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างไลท์นิ่ง แมคควีนและด็อคครับ นั่นคือความผูกพันธ์และมิตรภาพที่ยาวนาน

          ภาพยนตร์เรื่อง “Cars 3” เข้าฉาย 10 สิงหาคม ในโรงภาพยนตร์ และในระบบดิสนีย์ ดิจิทัล 3 มิติ