บันเทิง

‘หนุ่ม’ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็น‘พ่อ’ถักทอสายใยรัก

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

‘หนุ่ม’ ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็น ‘พ่อ’ถักทอสายใยรักสู่ครอบครัว ‘ธีมากร’ : บันเทิงวันเสาร์  เรื่อง : เบญจภรณ์ อำไพรัตนพล ภาพ : กุลพันธ์ ศิริพิมพ์อัมพร 


          กำลังทำหน้าที่เป็น “พ่อ” ลูกสองอยู่ในขณะนี้ สำหรับผู้กำกับและนักแสดงมากความสามารถ “หนุ่ม” อรรถพร ธีมากร หลังจากมี “น้องอันดา” ด.ช.ณเสฏฐ์ ธีมากร ลูกชายคนโต วัย 4 ขวบ มาเป็นโซ่ทองคล้องใจในครอบครัวไปแล้ว ล่าสุด “ฝ้าย” อริญรดา ภรรยาสาวเพิ่งคลอด “น้องอดัม” ด.ช.ธนพิสิฐ ลูกชายคนเล็กวัย 1 เดือน ท่ามกลางความปลื้มปริ่ม และการพิสูจน์กำลังใจอันเข้มแข็งของครอบครัว หลังจากมีความเสี่ยงกับภาวะครรภ์เป็นพิษของฝ้าย ทำให้ “น้องอดัม” กลายเป็นของขวัญสุดพิเศษแก่ครอบครัว “ธีมากร”

          “บันเทิง คมชัดลึก” ได้โอกาสสัมภาษณ์ผู้ชายคนนี้อีกครั้ง ในฐานะหัวหน้าครอบครัว รวมถึงวิธีคิดในการเลี้ยง “ลูกชาย” ทั้งสองคนของ “พ่อหนุ่ม” ที่ต้องบอกว่า ไม่มีหลักสูตรตายตัวและไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร สิ่งสำคัญที่ “พ่อ” คนนี้อยากจะปลูกฝังให้กับลูกชายทั้งสองคนคือ “คุณค่าภายในจิตใจและการมีสำนึกที่ดี” มากกว่า “คุณค่าจากวัตถุภายนอก”

 

‘หนุ่ม’ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็น‘พ่อ’ถักทอสายใยรัก

 

          เมื่อทีมงานไปถึงบ้านในช่วงบ่ายของวันหยุด หนุ่มออกมาต้อนรับทีมงานด้วยท่าทีสบายๆ มองไปภายในบ้าน จะเห็น “น้องอันดา” ลูกชายคนโตในวัยน่ารัก กำลังนั่งเล่นอยู่บนโซฟา บนพื้นพรมเต็มไปด้วยของเล่นที่ยังไม่ได้เก็บวางอยู่ หนุ่มพูดกับทีมงานว่า “น้องอดัมยังไม่ตื่น เดี๋ยวนั่งสัมภาษณ์ไปก่อนดีกว่า” จากนั้นการนั่งสนทนาบนโต๊ะรับแขกภายในบ้านจึงเริ่มต้นขึ้น

          “ความรู้สึกของการมีลูกคนแรกกับลูกคนที่สอง ผมรู้สึกต่างกันนะ อย่างตอนที่เรามีอันดา เราจะยังไม่รู้ว่าต้องทำอะไรตอนไหนบ้าง มีความยุ่งยาก ซับซ้อน และไม่เข้าใจอยู่เยอะมาก แต่พอมีคนที่สอง เราจะเข้าใจธรรมชาติของเด็กมากขึ้น เข้าใจวิถีชีวิตของเขามากขึ้น การปรับตัวง่ายขึ้นกว่าคนแรก แต่เรื่องความรับผิดชอบ ต้องมากขึ้นตามลำดับ ทั้งในเรื่องของการดูแล และการแบ่งเวลา อย่างฝ้ายช่วงนี้ต้องดูคนเล็ก ส่วนผมจะดูอันดา ต้องช่วยกันมากขึ้น เราได้เห็นถึงความเป็นแม่ที่ต้องดูแลลูก ขณะเดียวกัน ผมต้องทำงานตลอด เพราะตอนนี้ผมกำกับละครอยู่ 2 เรื่อง ใช้เวลา 7 วันตลอดสัปดาห์ ผมแทบจะไม่มีเวลาได้อยู่บ้านเลย ยกเว้นวันที่พักกองละคร ตอนนี้ถ้าเป็นเรื่องของ อดัม ฝ้ายจะรับไปเต็มๆ เขาเหนื่อยมาก ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอนเลย” หนุ่มกล่าว

          พร้อมกับเล่าต่อว่าที่บ้านจะมีแค่แม่บ้าน แต่ไม่มีพี่เลี้ยงลูก ด้วยความตั้งใจว่าอยากจะดูแลลูกเองมากกว่า ไม่อยากให้มีความวุ่นวายเกิดขึ้น เพราะคนที่จะมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กทุกวันนี้หาคนไว้ใจได้ยาก เลยตัดปัญหาว่าเลี้ยงเองดีกว่า

          “ผมเป็นพ่อที่ชอบคุยกับลูกนะ เวลาที่ผมคุยกับลูก ผมจะคุยเหมือนเขาเป็นคนรุ่นเดียวกัน ผมไม่ได้อธิบายเหมือนว่าเขาเป็นเด็ก จนบางทีภรรยายังบอกกับผมเลยว่า พูดกับลูกซับซ้อนไปหรือเปล่า อธิบายแบบนี้ลูกจะเข้าใจเหรอ ซึ่งผมก็ไม่รู้นะว่า เขาเข้าใจหรือไม่เข้าใจ อาจจะยากหน่อย เด็กอาจจะงงๆ แต่วันหนึ่งเขาคงได้ใช้ในสิ่งที่่เราสอนเขาไป ถามว่าผมดุมั้ย ถึงเวลาต้องดุ ผมก็ดุนะ ถ้าตอนเช้าต้องกินข้าว แล้วมัวแต่เล่น ผมดึงของเล่นออกเลย ไม่ต้องเล่น ถ้าลูกร้องไห้ ผมปล่อยให้ร้อง บอกลูกว่า ลูกต้องกินข้าวก่อน ถ้าไม่กินข้าว ก็ไม่ต้องเล่นของเล่น ถามลูกว่าจะเอายังไง เขาก็เงียบ หยุดร้อง เขาเข้าใจนะ” หนุ่มเล่าถึงสไตล์การเป็นพ่อในแบบของตัวเอง

 

‘หนุ่ม’ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็น‘พ่อ’ถักทอสายใยรัก

 

          "ถึงเวลาที่ต้องตามใจลูก ผมตามใจนะ ซื้อของเล่นให้เป็นครั้งคราวเท่าที่จำเป็น ถ้าผู้ปกครองคนอื่นที่โรงเรียนมองผม เขาคงมองว่าผมเป็นพ่อที่ดุ อย่างเช่น มีเด็กคนอื่นที่โรงเรียนอันดา เขามีของเล่นอะไรก็ไม่รู้ แล้วอันดาร้องไห้อยากจะได้ของเล่นแบบเพื่อนบ้าง ผมบอกลูกว่า “พ่อไม่ซื้อให้นะ ลูกไม่จำเป็นต้องมีเหมือนคนอื่น คนอื่นเขามี ไม่จำเป็นว่าเราต้องมี คนอื่นเขาก็มีในสิ่งที่เราไม่มี เราก็มีในสิ่งที่เขาไม่มีเหมือนกัน ผมพูดกับลูกแบบนี้เลย” เขาก็ร้องให้ ผมปล่อยให้ลูกร้องไห้เลย ผมเดินหนี ลูกก็วิ่งร้องไห้ตามมา จนเขาหยุดร้องไห้ ผมถึงบอกลูกว่า “จำไว้นะลูก เราไม่จำเป็นต้องอยากได้ อยากมี ในของที่คนอื่นเขามี ซึ่งมันไม่ใช่ของของเรา แล้วเราจะเอาสิ่งนั้นไปเพื่ออะไร นิสัยแบบนี้ผมไม่ปล่อยให้ลูกเป็น”

          ผู้ปกครองคนอื่นมองเข้ามาจะตกใจว่า ผมเลี้ยงลูกแบบนี้เลยเหรอ ผมดุจังเลย คือบางเรื่องเราต้องดุ ถ้าไม่ดุตอนนี้ จะไปดุเขาตอนไหน ถ้าไปดุเขาตอนที่เขาอายุ 15 เขาจะฟังเรามั้ย ผมคิดว่าพอลูกเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น เราจะไม่สามารถใส่ความคิดในสิ่งที่เขาควรจะเป็นได้ เราจะคุมเขาไม่อยู่แล้ว ถ้าเราปล่อยต่อไป โดยที่ไม่มีกรอบให้กับลูกบ้าง ชีวิตเขาจะเละเทะ" หนุ่มกล่าว

          นอกจากนี้ พ่อ อย่างหนุ่ม ยังมีมุมมองในเรื่องของเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น เรื่องการใช้ไอแพด หรือ การปล่อยให้ลูกเล่นไอแพดว่า สามารถทำได้และไม่กลัวว่าใครจะด่าว่า ทำไมถึงปล่อยให้ลูกเล่นไอแพด

          "ตอนนี้อันดาเขายังเป็นเด็กนะ ซึ่งเด็กก็คือเด็ก อาจจะมีงอแงบ้างตามประสา แต่ผมสังเกตุดูว่า สิ่งที่เขาสนใจในตอนนี้ จะเป็นเรื่องของศิลปะกับวิทยาศาสตร์ ส่วนใหญ่เขาจะชอบเล่นเกมวิทยาศาสตร์ และเกมอะไรสักอย่างใน “ไอแพด” ใครจะด่าผมว่า ปล่อยให้ลูกเล่นไอแพด ก็ด่าไปเถอะ แต่ผมคิดว่ามันมีประโยชน์มาก เพราะว่าอีกหน่อยเด็กในยุคต่อไป จะต้องโตมากับสิ่งของเหล่านี้ ถ้าเขาได้เรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้ไว้ก่อน มันดีกว่าที่เราจะไปปิดกั้นเขา ผมเห็นพ่อแม่บางคน เวลาเห็นลูกดูการ์ตูนในทีวี แล้วเอามือปิดตาลูกทันทีเลย เพราะไม่อยากให้ลูกดูการ์ตูน

          ผมว่ามันเหมือนตำราพิชัยสงครามสมัยอยุธยา แต่เอามาใช้ในสมัยนี้ มันเป็นความโบราณมาก สมัยก่อนการ์ตูนหรือสิ่งที่อยู่ในทีวี อาจจะมีให้เลือกน้อยมาก อาจจะเป็นสิ่งที่เราตรวจสอบไม่ได้ แต่สมัยนี้การ์ตูนมีให้เลือกหลายช่องทาง และมีหลายเรื่องที่ดีงามซึ่งเหมาะกับเด็ก ผมก็ปล่อยให้เขาดู ผมคิดว่าทุกวันนี้ที่อันดาพูดภาษาอังกฤษ โดยมีสำเนียงอังกฤษได้เพราะการ์ตูน เขาเลียนแบบจากเสียงในการ์ตูน อย่างบางเรื่องผมเห็นทักษะบางอย่างจากการเล่นเกมของลูก อย่างเกมวิทยาศาสตร์ ผมเห็นว่ามันไม่ได้ทำให้คนโง่นี่หว่า มันทำให้คนฉลาด แต่คนไม่รู้จักใช้ให้เป็นต่างหากที่โง่ เกมที่อันดาเล่น ผมจะดูก่อนว่าลูกอยากเล่นเกมอะไร เข้าท่ามั้ย ถ้าดีผมก็โหลดให้ แต่ถ้าไม่เข้าท่า ผมจะอธิบายว่า ให้ลูกเล่นเกมอื่นดีกว่า และไอแพด ผมก็ไม่ได้ให้ลูกเล่นตลอดเวลานะ" หนุ่มเล่า

 

‘หนุ่ม’ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็น‘พ่อ’ถักทอสายใยรัก

 

          นอกจากนี้นักแสดงและผู้กำกับชื่อดัง ยังกล่าวต่อด้วยว่า "ผมคิดว่าทุกวันนี้สิ่งที่มนุษย์ต้องการรู้ไม่ใช่แค่การมีความรู้ แต่คือการมีชีวิตอยู่อย่างดีงาม ทัศนคติในการมองโลกสำคัญมากกว่าความรู้ นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามจะสอนลูกทั้งสองคน อดัมรอให้โตกว่านี้ก่อน ผมจะค่อยๆ สอน เพราะตอนนี้เขายังเล็กมาก วิธีการในการเลี้ยงน้องอดัม ถือว่าง่ายกว่าคนแรก แต่การจะรู้ใจเขา เป็นสิ่งที่ยาก เพราะเราไม่รู้ว่าบางทีเขาร้องไห้เพราะอะไร บางคนพอลูกร้องไห้ก็เอาเข้าเต้า (กินนมแม่) แต่บางครั้งไม่ได้ทำให้เขาหยุดร้องเสมอไป เพราะเขากินนมไปแล้ว เขาอิ่มแล้ว แต่เรายัดให้เขากินนมอีก เด็กก็กินเพราะเขาไม่รู้ พอกินเยอะ เด็กก็แหวะนม เกิดอาการท้องอืด พอท้องอืดก็เป็น “โคลิก” ร้องไห้ไม่หยุด เพราะเขาไม่สบายตัว” หนุ่มอธิบายถึงการเลี้ยงลูก 

          ถามย้อนกลับไปว่า ก่อนหน้าที่ ฝ้าย จะคลอด “น้องอดัม” ครอบครัวของ หนุ่ม ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก เพราะภาวะครรภ์เป็นพิษ ช่วงนั้นมีการรับมืออย่างไร หนุ่มเล่าย้อนให้ฟังว่า 

          "ช่วงนั้นก็สติแตกไปพักหนึ่งเลยนะ เพราะฝ้ายไปตรวจร่างกาย แต่หมอสั่งให้แอดมิด เพราะว่าความดันสูงมาก และมีอาการใกล้เคียงกับภาวะครรภ์เป็นพิษ เหมือนกับตอนท้องอันดา หมอบอกว่าถ้าเคยเป็นจากท้องแรก ยังไงท้องที่สองก็ต้องเป็น มันเลี่ยงไม่ได้ คือฝ้ายไม่ได้เป็นโรคความดัน แต่พอท้องแล้วมีภาวะความดัน เพราะฉะนั้นคุณจะกลายเป็นโรคความดันสูงทันที บางคนก็ไม่เข้าใจ หาว่าเราเข้าโรงพยาบาลสร้างกระแส ทำให้ดูหนักหนาจะได้มีกระแส 
ผมคิดว่าคนคิดแบบนี้ ประหลาดมาก ผมถามว่าใครจะยอมเสียเงินเป็นแสน เพื่อไปนอนเล่นๆ ที่โรงพยาบาล มันไม่ได้สะดวกสบาย ชีวิตไม่ได้ง่าย ลำบากมากขึ้นด้วย เพราะต้องย้ายไปนอนโรงพยาบาลกันทั้งครอบครัว ตอนนั้นวุ่นวายมาก ผมวางแผนไม่ถูกต้อ งต้องทำยังไง เพราะตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะคลอดประมาณวันที่ 14 พฤศจิกายน แต่เกิดภาวะกำลังจะเป็นครรภ์เป็นพิษ ทำให้ต้องไปนอนโรงพยาบาล ซึ่งตอนนั้นน้องอดัมอายุครรภ์ประมาณเกือบ 8 เดือน ซึ่งจริงๆ ภาวะความดันสูง มีมาตั้งแต่ฝ้ายท้อง 6 เดือนแล้ว แต่หมอพยายามประคองอาการเอาไว้ เพื่อให้เด็กอยู่ในท้องแม่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

          ตอนแรกฝ้ายอยู่โรงพยาบาลประมาณ 1 อาทิตย์กว่า หมอคงเห็นใจเลยให้กลับมาพักที่บ้าน แต่ปรากฏว่าพอกลับมาพักที่บ้าน ความดันไม่ลงเลย ซึ่งตอนนั้นความดันตัวบนของฝ้ายอยู่ที่ประมาณ 170-180 ตัวล่างอยู่ที่ประมาณ 110-120 หมอเลยสั่งให้แอดมิดอีกครั้ง ตอนอยู่โรงพยาบาลฝ้ายยังขยับตัวได้ ไม่ถึงขนาดเป็นแบบโอปอล์ (ปาณิสรา อารยะสกุล) ที่ต้องนอนเฉยๆ ของโอปอล์น่าสงสารมากกว่าเราเยอะ เพียงแต่ของฝ้าย คือห้ามเดิน เพราะแค่ลุกขึ้นเดินแป๊บเดียว ความดันสูงแล้ว ช่วงนั้นฝ้ายเครียดมาก เขาจะร้องไห้ตลอด เพราะเขาไม่รู้ว่าลูกจะเป็นยังไง คือเราไม่รู้เรื่องราวข้างหน้าเลย เหมือนคนใจเสีย ทุกคนที่รู้ข่าวก็ให้กำลังใจเรา ต้องขอบคุณมาก”

          พร้อมกับฝากบอกครอบครัวที่อาจจะต้องมาเผชิญหน้ากับภาวะแบบนี้ว่า การมี “สติ” เป็นเรื่องสำคัญที่สุด “อันดับแรกต้องตั้งสติดีๆ และพยายามทำอยู่อย่างตามที่คุณหมอสั่ง ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือสติ ห้ามประสาทเสียกับสิ่งเหล่านี้จนเกินไป จะช่วยไม่ให้ความดันสูงขึ้น ส่วนหนึ่งที่ฝ้ายความดันสูงมาก เพราะเขาเครียดด้วย เหมือนพอเรารู้ว่าเป็นอะไร เราจะยิ่งเครียด เพราะฉะนั้นคุณต้องขจัดความเครียดไปให้ได้ และคนที่จะช่วยได้มากที่สุดคือคนในครอบครัว ตัวสามีต้องดูแลภรรยาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ประคองอารมณ์กันให้ดีที่สุด” หนุ่มกล่าว

          ในโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเจริญเติบโตทางวัตถุนิยมสูงมาก พ่อ อย่างหนุ่มกล่าวว่า สิ่งสำคัญสำหรับพ่อแม่ในยุคนี้ คือต้องรักกันให้มากที่สุด แล้วความรักจะส่งต่อไปผ่านไปถึง “ลูก” 

          "ผมว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนเป็นพ่อแม่ในยุคนี้คือ “พ่อแม่ต้องรักกันให้มากที่สุด ลูกถึงจะมีความสุข” ทุกวันนี้เราไปโฟกัสกับสิ่งที่ต้องการจะทำให้ลูก จนบางทีทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน เรามัวแต่จะทำให้ลูก จนไม่รู้ว่าบางอย่างมากหรือน้อยเกินไป ความจริงคนสองคน ต้องคุยกันให้เยอะที่สุดถึงจะประคองลูกได้ดี หมายความว่าคุณสองคนต้องประคองความรัก ความดีงามของคุณไปให้ตลอดรอดฝั่งก่อน ทุกอย่างถึงจะเผื่อมาถึงลูก

          สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ “ความดีงามในจิตใจ” หมายถึงความดีงามในใจของคนเป็นพ่อแม่ ทุกวันนี้บางทีเราจะเห็นบางครอบครัวอยากมีนั่น อยากมีนี่ แข่งขันกันในเรื่องบ้าๆ บอๆ ถ้าเราตัดสิ่งเหล่านี้ออกไปได้ แล้วอยู่กับสิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เรามี จริงๆผมคิดว่าครอบครัวจะมีความสุขมากกว่าการจมอยู่กับวัตถุต่างๆ บนโลก และสิ่งเหล่านั้นจะถ่ายทอดไปถึงลูก ทำให้ลูกรู้ว่า วัตถุนิยม บริโภคนิยม จริงๆ แล้ว มันเป็นเรื่องปัญญาอ่อนที่สุดในโลกเลย 

          ควรเน้นเรื่องของความดีงามในจิตใจ สอนให้เขารู้จักคิดดี ไม่ใช่เพื่อนมีแล้วเราต้องไปอิจฉาเพื่อน ต้องไปทำร้ายกัน หรือสอนให้ไปแย่งเพื่อนสิลูก อย่าไปยอมเพื่อนนะ มันไม่ใช่ “การที่คุณจะสร้างมนุษย์คนหนึ่งในสังคมโลก คุณจะสร้างเขาด้วยวิธีคิดแบบนี้จริงๆ เหรอ มันโคตรเลวเลย” ซึ่งบางทีผมเห็นอะไรแบบนี้เยอะมากนะ

          ผมอาจจะคิดต่างกับคนอื่นหลายๆ อย่าง แม้กระทั่งการเรียนมหาวิทยาลัย บางทีผมก็คิดนะว่า “ปริญญาตรี” จำเป็นมั้ยในทุกวันนี้ ถามว่าคุณจะรู้ทุกอย่างไปเพื่ออะไร ในทางตรงกันข้าม หากคุณรู้แค่อย่างเดียว เรื่องเดียว แต่คุณรู้มากที่สุดเลยในเรื่องนั้น ผมถามว่าใครจะได้งานทำก่อนกัน เลือกในสิ่งที่ลูกชอบที่สุด แล้วไปทางนั้นดีกว่า เพราะถ้าคุณเก่งอะไรสักอย่างหนึ่งที่สุดบนโลกนะ ผมคิดว่าใบปริญญาอาจจะไม่จำเป็นเลย

          ส่วนความคาดหวังในตัวลูก ผมไม่กล้าคาดหวังอะไรเลย เพราะตอนเด็กๆ ผมไม่เคยรู้ตัวเองเลยว่า อยากจะทำอะไร อยากเป็นอะไร ผมใช้ชีวิตลอยๆ เรื่อยๆ แต่มีหลายคนทำตามความฝัน และรู้จักความฝันตัวเองตั้งแต่เด็ก ซึ่งผมคิดว่ามันเจ๋งมาก ต่างกับอีกคนที่ไม่เคยรู้ตัวเองว่า มีความฝันอะไร จนกระทั่งวันหนึ่งเขาหาเจอ แล้วลงมือทำ ผลลัพธ์ไม่ต่างกัน เพียงแค่ว่า รู้ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง

          “ถ้าวันหนึ่งอันดาไปโรงเรียน แล้วเขาไปเจอวิชาอะไรก็ไม่รู้ สมมุติอยู่ดีๆ  อันดา เกิดรู้ตัวว่า ชอบสักยันต์ตั้งแต่ ม.3 (หัวเราะ) แล้วลูกมาบอกผมว่า “พ่อ อันดาอยากเรียนเขียนยันต์” ผมจะบอกลูกเลยนะว่า ได้! เดี๋ยวพ่อไปหาสำนักให้ หรือลูกอาจจะอยากต่อหุ่นยนต์อะไรก็ว่าไป ผมสนับสนุนในสิ่งที่เขาชอบและมีความสุข”

          นี่แหละนิยามความเป็น “พ่อ” ฉบับ “หนุ่ม” อรรถพร

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ