'แผ่นดินของเรา' เป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่จะมีการอัญเชิญพระอัจฉริยภาพทางดนตรีของพระองค์ท่าน จากบทเพลงพระราชนิพนธ์สู่ภาพยนตร์เพลงเต็มรูปแบบ
โดย...ยุทธนา มุกดาสนิท
'ผมเกิดมาในแผ่นดินของพระเจ้าอยู่หัว เมื่อก่อนผมไม่เข้าใจที่คนว่ากษัตริย์เป็นสมมติเทพ พอโตขึ้นมาผมถึงได้รู้ ในหลวงก็เป็นมนุษย์ละครับ แต่มนุษย์เวลาทำความดีที่ยิ่งใหญ่มากๆ จิตใจจะสูงทำให้เรามองพระองค์เป็นเสมอเทพได้จริงๆ'
รับชมได้ในช่วง หนังสั้น เนชั่น ทีวี ช่อง 22 เวลา 11.30 - 12.00 น. และ 23.30 - 24.00 น.
'แผ่นดินของเรา' เป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่จะมีการอัญเชิญพระอัจฉริยภาพทางดนตรีของพระองค์ท่าน จากบทเพลงพระราชนิพนธ์สู่ภาพยนตร์เพลงเต็มรูปแบบ นำแสดงโดย “เจมส์” เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์, นัท มีเรีย, ธงไชย แมคอินไตย์, “บี้” สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว, “สิงโตThe star 5” สิงหรัตน์ จันทร์ภักดี , “นัททิว AF 5” ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม , สุนารี ราชสีมา เป็นต้น
แผ่นดินของเรา หรือ Alexandra เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ในลำดับที่ 34 (ทรงพระราชนิพนธ์เนื่องในโอกาสที่เจ้าหญิงอเล็กซานดรา แห่งเคนต์ สหราชอาณาจักร เสด็จเยือนประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2502 ) ปี 2516 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเห็นว่าท่วงทำนองไพเราะ น่าจะใส่คำร้องภาษาไทยได้ จึงกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตให้ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค ประพันธ์คำร้องภาษาไทย
การทำภาพยนตร์เพลงเรื่องนี้ต้องถือว่าเป็นความถนัดของ ยุทธนา มุกดาสนิทอยู่แล้ว เนื่องจากในอดีตเขาเคยทำหนังเพลงอย่าง เทพธิดาบาร์ 21 (พ.ศ. 2521) และ เงิน เงิน เงิน (พ.ศ. 2526) รวมถึงละครเวทีอย่าง สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ และจุมพิตนางแมงมุม มาแล้ว ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายเมื่อปี 2543 คือ “ยุวชนทหาร เปิดเทอมไปรบ” จนเมื่อ 2 ปีที่แล้วเขาได้กลับมารีเมกละครเวทีเรื่อง “สู่ฝันอันยิ่งใหญ่” อีกครั้งตามคำเชื้อเชิญของ “บอย” ถกลเกียรติ วีรวรรณ
ความหลากหลายของแผ่นฟิล์มเฉลิมพระเกียรติในปีนี้ เสมือนดอกไม้งดงามที่ถูกสอดแซมด้วยสีสันมากมาย ไม่ว่าหนังเรื่องนั้นจะจัดสร้างโดยหน่วยงานใด จะเป็นหนังสั้น - หนังยาว ใช้นักแสดงที่มีชื่อเสียง หรือบุคคลที่เราไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพบเห็นหน้าค่าตามาก่อน หรือแม้แต่หนังในแนวทางที่แตกต่างกันไปตามความถนัดของผู้กำกับฯ แต่ละคนนั้น อุปมาดั่งลูกแต่ละคนในครอบครัวที่มีความคิด มุมมองและนิสัยใจคอ ผู้เป็น “พ่อ” ย่อมคาดหวังให้ลูกทุกคนได้อยู่ร่วมกันกันอย่าง รู้รักสามัคคีและยอมรับในความต่างของพี่กับน้องในครอบครัวเดียวกัน
เรื่องย่อ
ตอนที่หนึ่ง : ใกล้รุ่ง
หญิงสาวชาวไร่ (มีเรีย เบเนเด็ตตี้) และชายหนุ่มหมู่บ้านเดียวกัน (เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์) มีชีวิตประสาชาวบ้านอันสงบสุขณ ท้องทุ่งห่างไกล ทั้งคู่เกี้ยวพาราสี เต้นรำ และร่วมกันขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ ‘ใกล้รุ่ง’ ทั้งนี้ต่างคนต่างอาบน้ำประแป้งเก็บดอกไม้กลางทุ่ง พายเรือเก็บบัว เตรียมตัวรอรับขบวนเสด็จฯทางรถไฟของในหลวง ทอดพระเนตรมาทางชาวบ้านอย่างเมตตา ดนตรีบรรเลง ‘ยิ้มสู้’ ดังขึ้นมาเบาๆ ขณะที่มหาดเล็กลงมารับของที่ชาวบ้านนำมาทูลเกล้าฯ ถวาย พระองค์ท่านทรงโบกพระหัตถ์และแย้มพระโอษฐ์ให้ชาวบ้าน ขณะที่รถไฟเคลื่อนออก ชาวบ้าน โดยเฉพาะหญิงชายคู่นำ มองตามอย่างปีติจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้
ตอนที่สอง : ลมหนาว
บนภูเขาสูง ชาวเขาชาวดอยเลิกจากการปลูกฝิ่น หันมาปลูกพืชเมืองหนาวทดแทนตามแนวทางพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัวชายหนุ่มชาวเขาคนหนึ่ง (สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว) มีชีวิตทำไร่ปลูกผักอยู่กับลมหนาวอย่างมีความสุข พลางร้องเพลง ‘ลมหนาว’ โดยคนรักของเขาเก็บดอกไม้อยู่ในแปลงดอกไม้โครงการหลวงที่ในหลวงทรงริเริ่มไว้ ทั้งคู่ที่กำลังมีความรักฝันถึงโลกแห่งรักที่เต็มไปด้วยดอกไม้ผลิบานเต็มทุ่ง ชายหนุ่มตัดสินใจยื่นของหมั้นให้หญิงสาว เธอนิ่ง แต่สุดท้ายก็จับมือเขาและรับของชิ้นนั้นไว้บรรยากาศเมืองเหนืออบอวลด้วยไอรักและความสุข
ตอนที่สาม : ค่ำแล้ว
อาทิตย์อัสดง ณ หมู่บ้านอันยากไร้และแห้งแล้งแห่งหนึ่ง บนแผ่นดินอีสาน แม่ (สุนารี ราชสีมา) คนหนึ่งซึ่งมีลูกๆ สี่คน และยังท้องอยู่อีกหนึ่งคน ทุกข์ระทมจากความแร้นแค้น สามีของเธอต้องออกจากบ้านไปหางานทำในเมือง เธอร้องเพลง ‘ค่ำแล้ว’ เพื่อกล่อมลูกๆ นอน แต่แล้ววันหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จฯ มาเยี่ยม และทรงครุ่นคิดหาหนทางช่วยเหลือ ในที่สุดก็ปรากฏเป็นแผนภูมิโครงการฝนหลวง
ตอนที่สี่ : สายฝน
ผืนดินอีสานแห่งเดิมกลับมาฉ่ำน้ำอีกครั้ง หลังจากโครงการฝนหลวงของพระเจ้าอยู่หัวสร้างฝนให้ชาวนาสำเร็จ ข้าวงอกงาม สามีและภรรยาได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง ชาวบ้านออกมา จับกบ เขียด และปลา ที่กลับคืนท้องนาดังเดิม ทั้งหมดร่วมกันร้องเพลง ‘สายฝน’ อย่างเป็นสุข
ตอนที่ห้า : Oh I Say
กลุ่มสตรีทแดนซ์สีแดง นัดรวมตัวกันประจำที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หัวหน้ากลุ่ม (นัททิว) กำลังอบรมลูกน้อง พวกเขาเป็นอริกับกลุ่มนักเต้นฮิปฮอปสีเหลือง (สิงโต) ต่างฝ่ายต่างตรงเข้าประชันกัน เต้นแข่งกันอย่างดุเดือด โดยร้องเพลง ‘Oh I Say’ ในสไตล์เข้มข้น ต่างฝ่ายต่างเก่ง และพานจะมีเรื่องวิวาทกัน จังหวะเดียวกับที่หันไปเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงที่ทรงแซกโซโฟนและได้เห็นหมู่คนแต่งกายหลากสีสันร้องเพลง ‘Oh I Say’ ร่วมกันอย่างสมานสามัคคี ทั้งสองแก๊งคิดได้ จึงหยุดทะเลาะแล้วจับมือกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง