โดย... ปาริชาติ บุญเอก [email protected]
จากความเปลี่ยนแปลงทั้งการแข่งขันในด้านการจัดการการผลิต คุณภาพของสินค้า ราคา รวมถึงเทคโนโลยีนวัตกรรมที่พัฒนาอย่างรวดเร็วของภาคอุตสาหกรรมนำมาสู่ความร่วมมือระหว่าง สวทน. จุฬาฯ และสวทช. ก่อตั้งโครงการวิทยาศาสตร์เพื่ออุตสาหกรรม (ไซไฟ) สำหรับนิสิต ป.โท ฝึกงานระยะยาว 2 ปี เพื่อพัฒนากำลังคนสอดรับกับความเปลี่ยนแปลง
“โครงการวิทยาศาสตร์เพื่ออุตสาหกรรม” (Science for Industry: Sci-Fi) ถือเป็นความร่วมมือระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (เอ็มโอยู) เมื่อวันที่ 19 เมษายน ที่ผ่านมา เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม เน้นการสร้างบุคลากรระดับกลางในอุตสาหกรรม (Middle Manager) ที่มีความสามารถตรงกับตำแหน่งที่ต้องการ ทั้งด้านการผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์ เชิงเทคนิค และการบริหารจัดการ โดยนำร่องคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เป็นที่แรก
ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการวิทยาศาสตร์เพื่ออุตสาหกรรม” (Science for Industry: Sci-Fi) ณ สวทน. ว่าเป้าหมายหลักของจุฬาฯ คือการสร้างคน ตอนนี้ต้องยอมรับว่าคนเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาประเทศ ปัจจุบันภาคเอกชนมีปัญหาเรื่องกำลังคนโดยเฉพาะระดับกลางขึ้นไป บริษัทข้ามชาติที่มาลงทุนยังติดปัญหาที่กำลังคนศักยภาพไม่พอ ดังนั้น โจทย์สำคัญคือจะทำอย่างไรให้คนที่มีความสามารถได้รับการบ่มเพาะและมีโอกาสที่ดี การร่วมมือของ 3 หน่วยงาน คือการดึงความสามารถออกมา แต่ประเทศชาติจะพัฒนาได้ มีแค่ความสามารถไม่พอ เราต้องคิดว่าทำอย่างไรให้คนเหล่านั้น “หิว” อยากทำงานดีขึ้น ถ้าความสามารถบวกความหิวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี
“ภายใต้โลกที่เปลี่ยนแปลงถ้าเรายังขับเคลื่อนเหมือนเดิม เราจะหล่นลงไปในสถานะที่ลำบาก สิ่งสำคัญคือต้องตอบโจทย์ ต้องเปลี่ยนแปลงเร็ว ผลิตเร็ว สร้างสิ่งดีๆ เร็วทันเหตุการณ์ และ ต้องสร้างผลกระทบ ความร่วมมือกับภาคเอกชนในวันนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างผลกระทบให้เกิดขึ้น” ศ.ดร.บัณฑิต กล่าว
ป.โทฝึกงาน 2 ปีได้ค่าตอบแทน
ทั้งนี้ “โครงการวิทยาศาสตร์เพื่ออุตสาหกรรม” จะรับนิสิตระดับปริญญาโทหลักสูตรวิทยาศาสตร์เพื่ออุตสาหกรรม (Science for Industry) หรือ Sci-Fi จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อฝึกงานจริงในสถานประกอบการที่ต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นเวลา 2 ปี ในตำแหน่งผู้ช่วยวิศวกร ผู้ช่วยหัวหน้างาน หรือผู้ช่วยหัวหน้าแผนก โดยมีอาจารย์ให้คำปรึกษาร่วมพัฒนา ปรับปรุง ทดสอบ และร่วมวิจัยในหัวข้อที่สถานประกอบการสนใจ ซึ่งจะถือเป็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท โดยสถานประกอบการสนับสนุนทุนราว 500,000 บาท/คน/ปี และทาง สวทช. ได้ร่วมสนับสนุน 50% วงเงินไม่เกิน 4 แสนบาท/คน ผ่านโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) นิสิตจะได้ค่าเบี้ยเลี้ยงไม่ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท
โดยจำนวนการรับนิสิตเข้าฝึกงานขึ้นอยู่กับขนาดและโจทย์ของสถานประกอบการ โดยรับอย่างน้อยสถานประกอบการละ 1 รุ่น รุ่นละ 2 ปี และมีการประเมินผลร่วมกันทุกปี ทั้งนี้เมื่อจบโครงการ สถานประกอบการมีสิทธิพิจารณายื่นข้อเสนอให้นิสิตเข้าทำงานต่อในสถานประกอบการเดิมได้และนิสิตสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าทำงานต่อหรือทำงานที่อื่น ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการระยะแรก (เริ่มโครงการเดือนสิงหาคม 2562) 6 บริษัท ได้แก่ บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด (มหาชน), บริษัท อาหารเสริม จำกัด ในเครือ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), บริษัท สิทธินันท์ จำกัด, บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน), บริษัท โรงงานกระดาษเทนมา (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แฟคเกอร์ จำกัด โดยมีนิสิต Sci-Fi จำนวน 12 คน ทั้งนี้ทางโครงการจะเปิดรับบริษัทที่สนใจร่วมโครงการรุ่นที่ 2 ในเดือนสิงหาคมนี้
สำหรับขั้นตอนการดำเนินโครงการ ดร.ณรงค์ ศิริเลิสวรกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ทางโครงการได้คัดเลือกผู้ประกอบการพร้อมวินิจฉัยปัญหาเบื้องต้น เพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึกรายบริษัท รวมถึงประเมินผลโครงการ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ประกอบการจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ โครงการรูปแบบดังกล่าวจะสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่ภาคอุตสาหกรรมและมหาวิทยาลัยมากกว่าการนำเพียงโจทย์วิจัยจากสถานประกอบการมาทำวิจัยในมหาวิทยาลัยเท่านั้น และยังสามารถเปลี่ยนความคิดของผู้ที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี จาก “เรียนจบตรีแต่ไม่รู้จะทำอะไร” มาเป็น “เรียนต่อโทและทำงานในอุตสาหกรรม” ได้อีกด้วย
ด้าน ดร.กิติพงค์ พร้อมวงศ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) กล่าวว่า จากการศึกษาดีมานด์และอุตสาหกรรมในอนาคต เราพบว่ามีหลายอุตสาหกรรมของไทยที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มพัฒนาได้ อาทิ ด้านการแพทย์ (Medical), เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology), อาหารฟังก์ชัน (Functional Foods), โลจิสติกส์ และ AI นอกจากนี้ยังพบว่ามีกำลังคนด้านทักษะใหม่เกิดขึ้น แต่กระบวนการสร้างคนเหล่านี้ให้มีคุณภาพ และออกมาให้ทันความต้องการยังไม่มี ตลาดต้องการคนที่มีทักษะใหม่ๆ กว่า 1 แสนคน ถามว่าจะเดินหน้าต่อกันอย่างไร ถือเป็นความท้าทาย ดังนั้นการร่วมมือในวันนี้ถือเป็นการแก้ปัญหาขาดแคลนกำลังคนในระดับกลางอันเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างนวัตกรรมในอุตสาหกรรม
บัณฑิตยุคใหม่ต้องรู้หลายศาสตร์
ดร.ชินนทัต สินประเสริฐโชค ผู้ช่วยผู้จัดการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท อาหารเสริม จำกัด ในเครือบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ประกอบการ กล่าวว่า โดยปกติงานของบริษัทค่อนข้างมีความจำเพาะ บัณฑิตที่จบวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมศาสตร์โดยทั่วไปมาทำงานจะมีปัญหาคือเขาไม่สามารถทำตามลักษณะงานได้ครบตามที่เราต้องการ ทางบริษัทมีงานวิจัยที่ต้องนำมาทำในส่วนของเชิงพาณิชย์ แต่เด็กส่วนใหญ่ที่รับมาสายวิทยาศาสตร์จะได้แค่งานวิจัย ส่วนเรื่องการขาย การตลาด เป็นเรื่องค่อนข้างยากสำหรับเด็กใหม่ ทั้งนี้ บุคลากรที่ทางบริษัทกำลังต้องการ คือสายวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงต้องมีความรู้ทางด้านการวางแผนการตลาด กลุ่มลูกค้าที่เหมาะสมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการ ตอนนี้ทักษะเพียงด้านเดียวไม่เพียงพอต้องมีการเรียนรู้หลายศาสตร์ไปพร้อมกัน ซึ่งระยะเวลาในการบ่มเพาะบุคลากรให้เก่งต้องใช้เวลา 1-2 ปี กว่าเขาจะสามารถเห็นภาพตลาดเชิงพาณิชย์ได้
“เมื่อมีโครงการ Sci-Fi ซึ่งมีอาจารย์คอยให้คำปรึกษา รวมถึงมีการเชื่อมโยงกับคณะอื่นๆ ในมหาวิทยาลัย คาดว่าจะสามารถเพิ่มศักยภาพเด็กให้ทำงานได้อย่างครบวงจรและตอบโจทย์บริษัทได้ โดยตั้งเป้ารับปีละ 2 คน เริ่มฝึกงานในช่วงสิงหาคมที่จะถึงนี้ นอกจากนี้ ยังมีบริษัทอื่นๆ ในเครือไทยเบฟ เข้าร่วมโครงการอีกเร็วๆ นี้” ดร.ชินนทัต กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง